ยิ่งเจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า ขยันทำอีเว้นท์การเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม มากเท่าใด ก็ดูเหมือนว่าคนชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็จะต้องเหนื่อยมากเท่านั้น !
การเดินทางเข้าพบเป็นการส่วนตัว ของ “สมเด็จฮุนเซน” ที่เข้าเยี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ทำให้จุดโฟกัสทางการเมือง เทไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แทนตึกไทยคู่ฟ้า ไปโดยปริยาย
แม้ในวันเดียวกันนายกฯเศรษฐา จะลงมาหย่าศึกระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากปมข้อพิพาทพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
กระแสข่าวการเปลี่ยนตัวนายกฯ สะพัดแรงมากขึ้น เมื่อทักษิณ ได้รับการพักโทษและออกมาใช้ชีวิตที่บ้านพักส่วนตัวแทนเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพราะนั่นหมายถึง “เวลา” ของนายกฯเศรษฐา จะเริ่มนับถอยหลังแล้วหรือไม่ เพื่อเปิดทางให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวทักษิณ เตรียมขึ้นมาทำหน้าที่ นายกฯคนที่ 31 แทน
แม้แต่สว. ที่จ้องเปิดเกมซักฟอกรัฐบาล ยังเย้ยเยาะนายกฯเศรษฐา ว่าเขาไม่ต่างจาก “ดาวไร้แสง” ทว่านายกฯเศรษฐา เองดูเหมือนจะ “ตั้งรับ” กับแรงเสียดทานเช่นนี้ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี สว.ได้ฤกษ์อภิปรายรัฐบาล โดยไม่มีการลงมติตามมาตรา 153 ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ ด้านหนึ่งคือการใช้เวทีซักฟอกวุฒิสภา เพื่อ “ถล่ม” ทั้งนายกฯเศรษฐา รัฐบาล ก่อนที่จะ “ทิ้งระเบิด” ไปที่เรื่องราวของ “นักโทษเทวดา” ที่ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือนักโทษในประเทศไทย
เวทีวุฒิสภารอบนี้ จะเป็นการซักฟอกเพื่อทิ้งทวนก่อนหมดวาระในเดือนพ.ค.นี้หรือไม่ก็ตาม แต่ประเด็นที่นายกฯเศรษฐา ต้องรับมือและตอบคำถามคือการผลักดันนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะเดินต่ออย่างไร จะใช้เม็ดเงินจากที่ใด จากการกู้เงิน หรือใช้เงินจากงบประมาณ
นอกจากนี้สว.โดยเฉพาะ “ตัวตึง” จ้องที่จะถล่มพรรคเพื่อไทย และนายกฯเศรษฐา ด้วยการหยิบเอาเรื่องชั้น 14 และทักษิณ เพื่อจี้ให้สะเทือนไปถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า ดังนั้นสถานการณ์ที่นายกฯเศรษฐา ต้องรับมือนั้น จึงไม่ใช่การชี้แจง และตอบคำถามวุฒิสมาชิก เฉพาะเรื่องการบริหารงานในฐานะผู้นำรัฐบาลเท่านั้น
แต่เขาเองยังต้องตอบคำถามไปถึงเรื่องราวของ ครอบครัวชินวัตรและทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “หนังหน้าไฟ” ต่อไปอีกระยะ จนกว่าทักษิณ จะแน่ใจได้ว่า หากส่งแพทองธาร ลูกสาวลงมานั่งนายกฯต่อ แล้วจะปลอดภัยและบอบช้ำ จากการถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีน้อยที่สุด !