เขียนถึงเรื่องโรคซีมเศร้ามาต่อเนื่อง ด้วยเห็นว่าเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบัน พอดีในช่วงวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลแนวโน้มปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2558 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการด้านจิตเวช 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ล้านคน ในปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา พบว่า ภาวะเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และภาวะหมดไฟสูงขึ้นทั้งหมด
ทั้งนี้ ข้อมูลอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ จากกรมสุขภาพจิต ปีงบประมาณ 2562-2566 พบว่า แนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 7.26 เป็น 7.94 ต่อประชากรแสนคน โดยกลุ่มวัยทำงานอายุ 20-59 ปี มีจำนวนฆ่าตัวตายมากสุดขณะที่กลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมีอัตราฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด คือ 10.39 ต่อประชากรแสนคน ส่วนจำนวนคนพยายามฆ่าตัวตายปี 2566 มีถึง 25,578 คน โดยกลุ่มวัยรุ่น/นักศึกษา อายุ 15-19 ปี มีอัตราพยายามฆ่าตัวตายสูงสุด คือ 116.81 ต่อประชากรแสนคน สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) ที่ประเมินว่า มีเยาวชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ตรวจพบอาการซึมเศร้าสูงถึง 2,200 ต่อประชากรแสนคน
ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตได้ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ Detection and Monitoring Intelligence Network for Depression (DMIND) เพื่อคัดกรองผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ผ่านช่องทางไลน์"หมอพร้อม" ในเมนูตรวจสุขภาพใจ ซึ่งพบว่าตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 - ธันวาคม 2566 มีผู้ใช้บริการ DMIND ทำแบบประเมินสุขภาพจิต 180,993 ราย แบ่งเป็น ผู้ที่ปกติ 18,906 ราย ผู้มีความเสี่ยงน้อย 113,400 ราย ผู้มีความเสี่ยงปานกลาง 33,039 ราย และผู้มีความเสี่ยงรุนแรง 15,648 ราย หรือคิดเป็น 8.1% ซึ่งมีการยินยอมให้ติดตาม 1,118 คน ติดตามสำเร็จ 778 คน โดยกระบวนการติดตามจะดูว่ามีกรณีเสี่ยงฆ่าตัวตายหรือไม่ หากเสี่ยงรุนแรงจะส่งต่อไปยัง Hope Task Force ทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตายให้การดูแล ทั้งนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง DMIND กับระบบหมอพร้อมทำให้การดำเนินงานสะดวกมากยิ่งขึ้น ในอนาคตจึงอาจมีการเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ให้มากขึ้น
ขณะที่นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้มีการพัฒนาและปรับปรุง DMIND ซึ่งมาจากการรับฟังจากความเห็นจากการใช้งานของประชาชน โดยมีแพทย์ AI ให้เลือกพูดคุยปรึกษามากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงแพทย์AIผู้หญิง จะเพิ่มทั้งแพทย์AIผู้ชาย และ มีอายุหลากหลายมากขึ้น มีการปรับการพูดคุยของผู้ใช้งานให้เป็นธรรมชาติและกระชับมากขึ้น รวมทั้งในอนาคตจะพัฒนาการทำงานของ DMIND เพิ่ม ได้แก่ 1. มีการวิเคราะห์ผู้ใช้งานตาม User Journey เพื่อให้สามารถเข้าใจบริบทของผู้ใช้งาน และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้ในการดำเนินงาน 2. ปลดล็อกในส่วนการช่วยเหลือผู้ป่วยขั้นวิกฤตตามกฎหมายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการติดตามกลุ่มวิกฤตที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจากการประเมินของ DMIND ทำให้มีความสะดวกและสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงที
นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวในความพยายามที่จะรับมือปัญหาสุขภาพจิต ที่เราจะได้ติดตามมานำเสนอในลำดับต่อไป