วิกฤติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นไวรัสร้ายที่ระบาดในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง มานาน 10กว่าปี จนจะกลายเป็นเชื้อไวรัสประจำถิ่นเสียแล้ว ที่ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง และชีวิต

โศกนาฎกรรมเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผานมา ที่สมุทรปราการ  พ่อฆ่าลูกเมียรวม 3 ศพ ก่อนพยายามฆ่าตัวตายตาม เนื่องจากถูกแก๊งดังกล่าวหลอกให้โอนเงิน เสียหายไปกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้

แม้จะมีการจับกุมขบวนการนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่หมดไปง่ายๆและผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

ไทยเรามีการปรับปรุงกฎหมาย โดยพระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ระบุว่า เจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รวมถึงผู้ที่เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 - 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 - 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กระนั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ร่วมขบวนการนี้ การได้เงินมาง่ายๆ โดยไม่ได้ทำงาน ซึ่งทัศนคติของคนเหล่านี้ที่ร่วมขบวนการทั้งต้นน้ำ และปลายน้ำ มองว่าเป็นเพียงอาชีพหนึ่ง และคนถูกหลอกนั้น โง่เอง

ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์คือ มหันตภัยร้าย ที่กระทบต่อความมั่นคง และชีวิตของประชาชน มีคนตายจากการตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งเท่าไหร่แล้ว

วันนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่คิดหากำไร จากการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไม่คิดว่าเป็นสิทธิ ในการให้ความคุ้มครองลูกค้าของตนเอง จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นความชอบธรรมของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับ ไม่ใช่คิดค่าบริการเพิ่ม