ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เว็บไซต์วิชวลแคปิตอลลิสต์ (Visualcapitalist) จัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกประจำปี 2566 โดยยังคงเป็นประเทศฟินแลนด์ ที่คว้าอันดับ 1 จากทั้งหมด 137 ประเทศและดินแดนทั่วโลก โดยเป็นแชมป์แห่งความสุขติดต่อกัน 6 ปีซ้อน มีคะแนนความสุขในปีนี้อยู่ที่ 7.8 คะแนน
ส่วนไทยเรานั้นอยู่ในอันดับที่ 60 โดยคะแนนความสุขอยู่ที่ 5.843 ขยับขึ้นจากอันดับ 61 ในปี 2565 แม้คะแนนความสุขลดลงจาก 5.891 ในปี 2565ก็ตาม
โดยดัชนีความสุขโลกฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยการให้นักวิจัยสอบถามความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน และปัจจัยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 หากมีการวัดดัชนีความสุขของคนไทย ก็น่าลุ้นว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่
โดยเฉพาะปัจจัยที่สถานการณ์ อาจไม่เป็นไปตามใจของบางฝ่าย แต่กำลังเข้าทางอีกฝ่ายในห้วงเวลานี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงพักยกการเมืองไทย ที่ทำให้กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลหยุดชะงักไปโดยปริยายนั้น
จินตนาการฉากการเมืองหลังจากนี้ ที่เชื่อว่ากันว่า อำนาจเก่าจะยังไม่หลุดจากวงโคจร และมโนไปถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึงว่าอาจทำให้ประเทศไทยต้องติดหล่ม วนลูปอยู่ในวิกฤติอีกครั้ง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งโงหัวจากวิกฤติโควิด พิษสงครามในยุโรป และราคาพลังงาน ทำให้หลายคนอาจเริ่มกังวลว่าการเมืองจะกลายมาเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ ซ้ำเติมความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย
ไม่มีใครอยากให้วิกฤติหวนคืน โดยเฉพาะเราๆท่านๆที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันอยู่นี้ ย่อมคาดหวังให้องคาพยพต่างๆทางการเมือง ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย แม้จะไม่ใช่ความสุขของทุกฝ่าย แต่เพื่อให้ประเทศชาติได้ดำเนินต่อไป
แน่นอนว่า บางฝ่ายอาจต้องเสียสละความสุข ระหว่างทางไปบ้าง เพื่อปลายทางส่วนรวมของประเทศ หากไม่มีใครยอมถอย ก็จะมีแต่เผชิญหน้า
หากไม่มีใครยอมแพ้ สุดท้ายประเทศอาจต้องปราชัย
สุดท้าย ยังขอให้จบลงอย่างมีความสุข