สถาพร ศรีสัจจัง

ความวุ่นวายทางสังคม ความรุนแรง การที่คนไทย (ที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง) ต้องถูกฆ่าตาย (เพราะความขัดแย้งจากความต้องการอำนาจทางการเมืองของชนชั้นนำ 2 กลุ่ม) การแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงของคนในชาติ ฯ ยุติลงอย่างฉับพลันทันใจด้วยการเข้า “ยึดอำนาจรัฐ” จากรัฐบาลภายใต้การนำของ “พรรคเพื่อไทย” (ที่ขณะนั้นรักษาการนายกรัฐมนตรีโดย นายนิวัติธำรง  บุญทรงไพศาล ที่สังคมล้วนรู้ว่าเป็นคนของตระกูล “ชินวัตร”)  

ด้วยวิธีซึ่งศัพท์ที่ฝรั่งตะวันตกเรียกว่า Coup d'e'tat หรือที่ได้รับการบัญญัติเป็นคำไทยว่า “การรัฐประหาร” โดยกลุ่มชนชั้นนำทางสังคมที่เรียกว่า “ทหาร” และ ตำรวจ ภายใต้การนำของผู้บัญชาการทหารบกไทยขณะนั้นที่ชื่อ “พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา” ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ (ตามวัฒนธรรมรัฐประหารของประเทศไทย) เสร็จ และผ่านการลงมติเห็นชอบของประชาชน  61.35 % (ตัวเลขกลมๆน่าจะสัก 15 ล้านคน)ได้ประกาศใช้ในเดือนเมษายน 2560 และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2562 

การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ได้เสียงเป็นที่ 1 แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคพลังประชารัฐที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ให้เหตุผลว่า ที่ทำไปก็เพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายของสังคมและป้องกัน “สงครามกลางเมือง” ที่จะทำให้คนไทยต้องฆ่ากันเอง) เป็น “แคนดิเดต” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ถูกฝ่ายค้าน(มีพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นหลัก)กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ เพราะสืบทอดอำนาจมาจากการรัฐประหาร(แม้จะมาจากการเลือกตั้งที่ไม่พบหลักฐานว่ามีการทุจริตแต่อย่างใดก็ตาม) แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการเป็นรัฐบาลมาจนครบวาระ 4 ปี ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

การเลือกตั้งครั้งนี้สร้างปรากฏการณ์ “ล็อกถล่ม” เพราะพรรคเพื่อไทยที่บรรดา “เกจิทางการเมือง” ลงมติเห็นพ้องต้องกันว่าจะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” อย่างแน่นอน กลับได้รับเลือกมาเป็นลำดับที่ 2 ได้คะแนนเสียงรวมทั้งประเภท ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อเพียง 141 ที่นั่น ส่วนพรรคที่ “ชนะเลิศ” แบบพลิกโผคือ “พรรคก้าวไกล” ที่มีภาพลักษณ์เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ มีนโยบายแบบ “อาวองการ์ด” คือ “บุกทะลวงฟันแบบเดินหน้าไม่กลัวตาย” จนได้รับเลือกรวมทั้งสิ้น 151 ที่นั่ง!

กลุ่มพรรคที่เป็นรัฐบาลเก่า ที่ส่วนใหญ่มีนโยบายแบบเก่าๆ และลึกๆแล้วไม่มีความกลมเกลียวกันแต่อย่างใด อันได้แก่พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ (แตกมาจากพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์เป็นหลัก) พรรคภูมิใจไทย  พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาธิปัตย์(ภายใต้การนำของ “อู๊ดด้า” จุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ (อดีตมือเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ”) แพ้เลือกตั้งแบบที่อาจเรียกได้ว่า “ไม่มีหูรูด”

มีเพียงพรรคภูมิใจไทย (ฟังว่าเป็นของ “เสี่ย” คนหนึ่งชื่อ “หนู”) ที่ดูเหมือนจะเอาตัวรอด(เพราะผลงานดี?)โดยได้รับเลือกตั้งมีเสียงมากกว่าเดิม ได้รับเลือกเป็นพรรคอันดับ 3 ได้เสียง 71 ที่นั่ง

มีเสียงวิจารณ์กันว่า ที่กลุ่มพรรครัฐบาลเก่าแพ้เลือกตั้ง เป็นเพราะนอกจากจะเสนอนโยบายแบบเก่าๆและบางพรรคมีความแตกแยกภายในแล้ว ในช่วงที่ครองอำนาจก็อ่อนแอเกินไป ไม่ใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มมือ “เคลียร์คัต” ฝ่ายตรงข้าม (ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงเสียก็ถูกโจมตีว่าเป็นเผด็จการอยู่วันยังค่ำ) ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวแบบเหิมเกริมไม่กลัวกฎหมาย และยึดครองการเคลื่อนไหวในสังคม “ออนไลน์” เอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ!

“พรรคก้าวไกล” ที่มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็น “แคนดิเดต” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เคลื่อนไหวประกาศจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคในทีนที โดยมีพรรคที่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลคือ พรรคก้าวไกล(ผู้จัด) พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ และพรรคเล็กๆอีก 5 พรรค รวมเสียงได้ทั้งสิ้น 312 ที่นั่ง

จากนั้นพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และบรรดา “ขุนพล” ชุด “ทะลวงฟัน” ของพรรค ก็เพิ่มความเข้มข้นการเร่งเร้าระดมให้มวลชนกลุ่มต่างๆที่เชียร์พรรค (ส่วนใหญ่เป็น “คนรุ่นใหม่” และ เยาวชนที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา)ที่เรียกกันเป็นศัพท์เฉพาะว่า “ด้อมส้ม” ให้ร่วมกันเปล่งเสียงและแสดงออกทุกช่องทาง อย่างเป็นกระแส โดยเฉพาะในสังคม “ออนไลน์”

เพื่อสนับหนุน “ความชอบธรรม” ในการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์” ในฐานะ “แคนดิเดต” ของพรรคที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 และสามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ถึง 312 เสียง!

“วาทกรรม” ที่ถือได้ว่าสุดยอดท่ามกลางกระแส “ก้าวไกลฟีเวอร์” นี้ก็คือ กระแสวาทกรรม “ได้กลิ่นความเจริญ…” ที่อาจแปลความได้ตรงๆก็คือ “ความเจริญของสังคมไทยกำลังจะมาถึงแล้ว เพราะพรรคก้าวไกลกำลังจะได้เป็นรัฐบาล และนักการเมืองหนุ่มรูปหล่อคุณสมบัติเลิศ” นาม “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี !

ในขณะเดียว ก็พบว่าเกิดกระแสขึ้นในสังคม “ออนไลน์” เกี่ยวกับการประณาม โจมตี และด่าว่าอย่างหยาบคายรุนแรง ต่อใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านความชอบธรรมของพรรคก้าวไกลในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะต่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่กำลังจะขึ้นสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ของประเทศไทย!

การโจมตีดังกล่าวนี้ เรียกกันเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ยุค “ดิจิทัล” ว่า “เอาทัวร์ไปลง!”

และแน่นอนแล้ว ปมต่างๆที่เป็น “ข้อต้องห้าม” สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายที่ไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล โดยมี “พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถูกยกชูขึ้นอย่างมากมายและอย่างรวดเร็วเข้มข้น ทั้งการไปร้อง กกต.เรื่องการถือหุ้น “ไอทีวี” ทั้งเรื่องการแจ้งราคาที่ดินที่อำเภอปราณบุรีต่อป.ป.ช.ที่ไม่ตรงกับราคาขายจริง 

และที่เข้มข้นและน่าจะเป็นข้อหาฉกรรจ์ที่สุดก็คือ การตั้งป้อมและโจมตี(รวมถึงการร้องต่อศาล) ต่อนโยบายที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของพรรคก้าวไกล  ที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกเวทีและทุกครั้งที่มีโอกาสว่า จะอย่างไรพรรคก็จะไม่ยอมถอดนโยบาย “การเสนอแก้ มาตรา 112” อย่างแน่นอน!

ยืนยันกระทั่งใน “รัฐสภา” ในวันโหวตเลือกตำแหน่งนายกยกรัฐมนตรีครั้งแรก(วันที่ 13 กรกฎาคม 2566) ที่เขาได้รับการเสนอชื่อแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผลโหวตในวันนั้น พิธาได้รับเสียง “เห็นชอบ” เพียง 324 เสียงไม่เพียงพอที่จะผ่านขึ้นนั่งบัลลังก์ “นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย”!

โอ้!กลิ่นหอมความเจริญ! หรือจะไม่ได้ดอมดมเสียแล้วละหนอ… แต่อะไรนั่ ทำไม “กลิ่นเหม็น” จากความรุนแรงที่เกิดความแตกแยกของคนในชาติ…เหมือนจะเริ่มฟุ้งกระจายมาแต่ไกลๆ…!