สถาพร ศรีสัจจัง

ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี (ที่มีชื่อเสียงเรื่องความรวย และ “ความเก่ง” ระดับ “โปรไฟล์” ติดระดับโลก) หลบหนีคดีเกี่ยวกับการ “คอร์รัปชัน” (ที่ถูกตัดสินคดีให้ถึงที่สุดแล้วโดยศาลสถิตยุติธรรม) อยู่ต่างประเทศ (อยู่อย่างสง่างาม เปิดเผยรู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะมีลูกน้องและบรรดาคนสนิทหรือคนในครอบครัวจากเมืองไทยไปเยี่ยม และ “ออกข่าว” อยู่เป็นระยะๆอย่างเปิดเผยตลอดเวลา)นั้น…

เครือข่าย (หรือพูดอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเรียกกันว่า “นอมินี” นั่นแหละ แต่ กกต.ไม่รู้และไม่เรียก) ในเมืองไทยของเขา ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดมา เมื่อพรรค “ออริจินอล” คือ “พรรคไทยรักไทย” ถูกยุบ วิญญาณเฮี้ยนทางการเมืองที่แสนจะศักดิสิทธิ์ของพรรคนี้ ก็จะเข้าสิงในร่างใหม่ได้อย่างฉับพลันทันทีเหมือนปาฏิหาริย์

แม้ชื่อแซ่ของพรรคจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่คุณภาพเนื้อในยังคงเดิม ทั้งยังสามารถต่อเติมเสริมแต่งศัลยกรรมทางการเมืองให้เป็นใบหน้า และโครงร่างที่ “สมสมัย” (Modern) สอดรับกับรูปแบบใหม่ๆของ “การเมือง” ไทยได้ยิ่งขึ้นตลอดเวลา

จากชื่อ “ไทยรักไทย” เปลี่ยนเป็น “พลังประชาชน” และ ก็เข้าสู่ชื่อสุดเท่คือ “เพื่อไทย” ที่แสนจะคงกะพันมาจนถึงกาลปัจจุบัน!

“เพื่อไทย” ที่ยิ่งใหญ่สุดก็คือ เพื่อไทย ในยุคการนำของตัวแทนจาก “ครอบครัวชินวัตร” ที่เป็นสาวสวยชื่อ “ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร”

ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ที่เป็นน้องสาวคนเล็ก น้องสาวคนสวยในสายเลือดแท้ๆของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี “ผู้นิราศ” เพราะหลบหนีโทษจำคุกจากคำสั่งศาลไปตั้งหลักบัญชาการอยู่ที่เมืองดูไบ แต่ก็มักถือโอกาสนั่งเครื่องบินส่วนตัวแบบ “มหาเศรษฐี” แวะมาเฉียดเมืองไทย อย่างเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือแม้แต่สปป.ลาวอยู่บ่อยๆ

ทั้งมาแต่งงานลูกสาว มาเพื่อให้สาวกและลูกน้องเข้าคารวะหารือปรึกษา หรือหลังๆนี้เห็นมักจะบอกว่ามาเพื่อ “อุ้มหลาน” จะจริงหรือไม่จริงอย่างไร ก็ลองถามคุณ “อุ๊งอิ๊ง” หัวหน้าครอบครัว “เพื่อไทย” ลูกสาวแสนรัก ที่เป็นหนึ่งใน “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยปัจจุบันดูเอาก็น่าจะรู้ (ถ้าเธอตอบแบบคนมีศีล 5 ประจำใจ ไม่ใช่ “ปากอย่างใจอย่าง” เหมือนผู้นำทางการเมืองไทยอย่างที่รู้ๆเห็นๆกันอยู่)

คุณทักษิณ  ชินวัตร นักการเมืองที่ฟังมาว่า สามารถสร้าง “Thaksin regim” หรือ “ระบอบการปกครองแบบทักษิณ”ขึ้นมาได้สำเร็จตั้งแต่ปีพ.ศ. 2544 จนถึงปีพุทธศักราชนี้แล้ว (2566) บารมีก็ยังไม่ร้างรา (แม้ฟังว่าดูเหมือนจะเริ่มเจอ “ตอ” ขนาดใหญ่ที่ชื่อ “ก้าวไกล” หรือ อะไรนั่นเข้าบ้างแล้ว!)

ที่จริงแล้วคุณทักษิณ ผู้เรืองบารมีทางการเมืองคนนี้แหละ ที่ควรจะเข้าใจคำ “ความเป็นอนิจลักษณ์ทางการเมือง”หรือ “ความไม่เที่ยงทางการเมือง” ได้ดีที่สุด เพราะตัวเขาเองต้องเผชิญกับชะตากรรมทางการเมืองมาไม่น้อย 

ที่ต้อง “ขึ้นกดบททุกข์ยาก/ต้องพลัดพรากจากเวียงชัย” หรือไม่ได้อยู่แบบอบอุ่นกับครอบครัว หรือต้องหย่าเมีย (เหตุผลทางการเมือง?) หรือไม่ได้อยู่อุ้มหลานแบบฉ่ำปอดฉ่ำใจแบบที่อยากอุ้ม ฯลฯ ก็เพราะล้วนเกิดจากความเป็น “อนิจลักษณ์”ทางการเมืองทั้งสิ้น!

ตั้งแต่คุณทักษิณขึ้นครองอำนาจ ความคิดเรื่องการปกครองแบบ “ซีอีโอบริษัท” (ที่คนไทยยุคปัจจุบันไม่น้อยก็ยังใฝ่หาอยู่)ก็ค่อยๆสำแดงฤทธิ์เดชออกมาเรื่อยๆ 

ยิ่งสามารถ “ควบรวมกิจการ” พรรคการเมืองต่างๆ(ในยุคนั้น)เข้ามาไว้เป็นกิจการเดียวในภายหลัง ก็ดูเหมือนจะยิ่งลุแก่อำนาจแบบที่รู้จักกันในชื่อ “เผด็จการรัฐสภา” (เผด็จการนั้นเป็น “เนื้อหา” ไม่ใช่ “รูปแบบ”/ถ้ามีเนื้อหาเป็น ไม่ว่าการปกครองรูปแบบไหนหรือสวมหน้ากากสีอะไร ก็ย่อมต้องถือว่าเป็น “เผด็จการ”)

คุณทักษิณจึงเริ่มถูกต่อต้านจากคนหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มชาวบ้าน นักธุรกิจ(ที่ไม่ใช่พวก) กลุ่มทหาร และอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เกิดเพราะพฤติกรรมความเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ และวาทกรรมที่ชอบดูแคลนผู้อื่นอยู่ลึกๆของเขานั่นแหละ

จากกรณีขายหุ้นบ.ชินคอร์ปให้ บ.เทมาเส็ก แห่งสิงคโปร์ แบบมี “ลับ ลวง พราง” จนถึงนโยบาย “สงครามยาเสพติด” (ที่ฟังว่ามีคนตายแบบ “เถื่อนๆ” ไปกว่า 2 พันราย) จนถึงวาทกรรม “โจรกระจอก” (กรณีปล้นปืนที่ค่ายทหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้) และอื่นๆอีกหลายเรื่อง ทำให้เยาต้องยุบสภาฯ แล้วประกาศเลือกตั้งใหม่ แบบมีแต่พรรคและพวกข้า! (เพราะพรรคอื่น เช่น ประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน ประกาศไม่ยอมส่งผู้สมัครฯร่วมสังฆกรรมด้วย!)

แล้วท้ายสุดเขาก็สร้างเงื่อนไขนำ “วงจรอุบาทว์” กลับมาสู่เมืองไทยอีกครั้ง นั่นคือ กลุ่มทหารที่ไม่พอใจระบอบการปกครองของเขา ภายใต้การนำของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ  บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้น ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของเขาในาม “คณะปฏิรูปการปกครองฯ” ในวันที่ 19 กันยายน 2549 จนทำทักษิณต้องติดแหง็กอยู่ต่างประเทศตั้งแต่นั้นมา!

หลังจากนั้น “พรรคไทยรักไทย” ของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกสั่งยุบ! ก่อนจะผุดโผล่ขึ้นในชื่อใหม่ คือ “พรรคพลังประชาชน" โดยมีนามระดับ “นักการเมืองรุ่นลายคราม” ระดับ “ลูกพระยา” อย่าง “นายสมัคร สุนทรเวช” อดีตหัวหน้าพรรค “ประชากรไทย” มาเป็นหัวหน้าพรรคให้ ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2550 

พรรคฯชนะเลือกตั้งได้เสียงเป็นอันดันดับ 1  เช่น เคย คุณสมัคร สุนทรเวช ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจตน ท่ามกลางวิกฤติทางการเมืองที่สืบเนื่องสืบต่อเรื่อยมาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน ท้ายสุดนายสมัคร ถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยคุณทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ฟังว่ายังไม่ทันได้เข้าทำงานในสำนักนายกฯตึกไทยคู่ฟ้า ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง 

เที่ยวนี้ คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน จนถูกฝ่ายที่นิยมคุณทักษิณให้ฉายาว่าเป็น “การจัดตั้งรัฐบาลในกองทัพ”!

แล้วการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 

และครั้งนี้เอง ที่สาวสวยที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวแท้ๆของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เรืองบารมี ได้ขึ้นนั่งแท่นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในนามของพรรค “เพื่อไทย”!