สถาพร ศรีสัจจัง

แล้วการเมืองไทยก็เปลี่ยนผ่านมาจนถึงยุคที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “chinawatra regim” หรือระบอบการปกครองที่ตกอยู่ภายในการนำของครอบครัว “ชินวัตร” ที่นำโด่งมาโดยอดีต “พันตำรวจโท” (ภายหลังถูกถอดยศและยึดคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกระดับ) ที่ชื่อ “ดร.ทักษิณ  ชินวัตร”! ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถ้ากล่าวแบบสำนวนการเขียนเรื่องแต่งของ “รงค์  วงษ์สวรรค์”(หนุ่ม) ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ก็ต้องกล่าวในทำนองว่า คือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งใหญ่และมากบารมียิ่งกว่า “แจ้ง ใบตอง  ผู้ยิ่งยงแห่งสวนกล้วย” ในวรรณกรรมยอดเยี่ยมเรื่อง “เสเพลบอยชาวไร่” ของนักเขียนอมตะที่น้องๆนักเขียนในวงวรรณกรรมไทยร่วมสมัยเรียก “พี่ปุ้” ท่านนั้นมากนัก!                             

คือ “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ที่พัฒนาตัวเองมาจากลูกชายพ่อค้าระดับกลางๆต่างจังหวัด คือนายบุญเลิศ ชินวัตร แห่งเมืองสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ถึงแม้จะเคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนสภาราษฎรยุคจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อปีพ.ศ. 2512 ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มั่งคั่งเป็นเจ้าสัวหรือมากบารมีดีชั่วแต่อย่างใด                           

คือทักษิณ  ชินวัตร ที่พัฒนาตัวเองจากนายตำรวจมาเป็นพ่อค้าแล้วพัฒนาต่อยอดเป็น นักธุรกิจการเมือง เพราะบังเอิญมี “คุณสมบัติ” ไปเข้าตา พลตรีจำลอง  ศรีเมือง “มือกระบี่มื้อเดียว” หัวหน้าพรรคพลังธรรม (ขณะนั้น) เข้าจนถึงขั้นเชิญชวนให้นักธุรกิจเจ้าของกิจการเกี่ยวโทรคมมนาคมผู้นี้มารับตำแหน่ง “รมต.ต่างประเทศ” ในโควตาพรรคของตัวเอง ยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อชวน หลีกภัย (ครั้ง 1) นั่นแหละ! 

ทักษิณ ชินวัตร สอบเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารได้ในปี 2510 (เตรียมทหารรุ่น 10) ที่นี่เองที่เขาได้รับฉายา “ไอ้แม้ว” จากเพื่อนๆร่วมรุ่น                 

เขาเลือกสอบเข้าเหล่านักเรียนนายร้อยตำรวจ (รุ่น 26) จบการศึกษาในพ.ศ. 2516 ออกมาเป็นนายตำรวจได้เพียงปีเดียวก็ได้ทุน ก.พ.ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Eastern Kentucky สหรัฐอเมริกา ในสาขาขา Criminal justice                  

และเรียนต่อระดับดอกเตอร์ใน สาขาเดียวกันที่ มหาวิทยาลัย Sam Huston State  ที่นี่เองที่เขาได้ร่ำเรียนวิชาการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ในยุคนั้นไปพร้อมๆกันด้วย จนเป็นฐานสำคัญของการทำธุรกิจในเวลาต่อมา                  

เมื่อกลับจากอเมริกา ทักษิณเข้ารับราชการตำรวจอยู่ช่วงหนึ่ง ที่สำคัญคือได้ทำหน้าที่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี ปรีดา พัฒนถาบุตร(คนเชียงใหม่) ได้เรียนรู้เรื่องราวทางการเมืองไม่น้อย เขาได้จัดตั้งหจก.ไอซีเอสไอ.เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขายและให้เช่าคอมพิวเตอร์ และขยายกิจการเป็น บ.ชินวัตร จำกัด ในปี 2525                   

อย่างที่ได้กล่าวแล้ว ชีวิตทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มต้นแบบ “ราชรถมาเกย” กล่าวคือ เริ่มๆก็เข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศเลย (แม้จะอยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องลาออกจากตำแหน่งใน “รัฐบาลชวน 1” ด้วยข้อหา “มีกิจการสัมปทานกับรัฐ” โดยอยู่ในตำแหน่งเพียง 101 วัน)      

วันที่ 28 พฤษภาคม 2538 ทักษิณ ชินวัตร ผงาดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม แทน พลตรีจำลอง ศรีเมือง ลงเลือกตั้งและนำพาพรรคเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อบรรหาร ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทย โดยทักษิณได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี นี่นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการได้ “ลิ้มลองอำนาจรัฐ” ของนักการเมืองหนุ่มโปรไฟล์ดีเลิศคนนี้!                   

และในการเลือกตั้งใหม่ปี 2540 ที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ “ขงเบ้งแห่งกองทัพบกไทย” อดีตผบ.ทบ. ทักษิณ  ชินวัตร ในนามพรรคพลังธรรมก็เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง!                   

เที่ยวนี้ดูเหมือนเขาจะจัดเจนและรู้แล้วว่า การเมืองไทยมีจุดออ่อนจุดแข็งที่ตรงไหน และจะต้องทำอย่างไร จึงจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนแบบถล่มทลาย!                    

เขาตัดสินใจลาออกทิ้งพรรคพลังธรรมและก่อนั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีภาพลักษณ์เป็นพรรคแห่งความหวังของประชาชน ตามสโลแกนของพรรคใหม่ของเขาที่ว่า “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” โดยได้จัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2541 นั่นเอง 

พรรคที่เขาจดจัดตั้งขึ้นใหม่ครั้งนี้ชื่อ “พรรคไทยรักไทย”!  

พรรค “ไทยรักไทย” ที่รวมเอาบรรดาหัวกะทิทางวิชาการของประเทศเป็นจำนวนไม่น้อยมาร่วมร่างนโยบาย  พรรคไทยรักไทยที่สามารถ “ซื้อใจ” ของบรรดากลุ่มผู้นำนักศึกษาที่ล่าถอยจาก “การจับอาวุธต่อสู้ในเขตป่าเขา”(ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ให้เข้า “ล่มหัวจมท้าย” ได้เป็นจำนวนมาก ฯลฯ                     

พรรค “ไทยรักไทย” ซึ่งเป็นตำนานของการถูกยุบแล้วยุบอีก แล้วก็เกิดใหม่แบบ “ใหญ่กว่าเดิม” ได้ตลอดเวลาในหลายนาม  ตั้งแต่ “พรรคพลังประชาชน” จนถึง “พรรคเพื่อไทย” ภายใต้การนำของ “น้องสาวทักษิณ” คนสวย ที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” คนนั้นนั่นไง!

ภายใต้การชูสโลแกนศักดิ์สิทธิ์ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”! (กกต.ยุคนั้นบอกว่าไม่ใช่การครอบงำแต่อย่างใด!)                     

ความยิ่งใหญ่ของเขา ถึงขนาดมีคำกล่าวกันสืบๆมาว่า “บิ๊กแม้ว” หรือ ทักษิณ  ชินวัตร นั้นมีฝีมือทางการเมืองระดับเกจิจริงๆ  คือแม้ตัวเขาจะไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้  (เพราะมีคดีทุจริตที่ศาลตัดสินถึงที่สุดแล้วหลายคดี) แต่ก็สามารถนำพาเครือข่ายผลประโยชน์ทางการเมืองของตนให้ดำรงชัยชนะในการเลือกตั้งได้ตลอดมา  !                          

หลายเสียงบอกว่า เขานี่แหละคือผู้สร้าง “นายกรัฐมนตรี” ให้ประเทศไทยได้มากที่สุด (อย่างน้อยๆก็ 4 คนรวมทั้งตัวเขาเอง) จนเหมือนกับตำแหน่งดังกล่าวเป็นเพียงของเล่นเด็กชนิดหนึ่ง 

คือตั้งแต่นายสมัคร  สุนทรเวช  นายสมชาย  วงษ์สวัสดิ์(น้องเขย) และนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร(น้องสาว) 

อย่างที่คนไทยทั้งประเทศรู้ๆกันนั่นแหละ!      

คือรู้ๆกันว่า เพียงยึดถือสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เพียงเท่านี้ เสียงก็มาแบบถล่มทลายอย่างแน่นอน ดังที่เคยได้เห็นเชิงประจักษ์ เมื่อคราวส่งน้องสาวที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ที่อยากจะทำอะไรก็ทำได้ และนี่กระมังที่อาจเป็นที่มาของโครงการจำนวนมากที่ว่ากันว่า “คอร์รัป” แบบสุดๆ 

โดยเฉพาะ “โครงการจำนำข้าว” ที่จนบัดนี้ประเทศก็ยังใช้หนี้ไม่หมดนั่นไง!!ฯ