ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว เรื่อง “ภาษาการเมือง(ที่เข้าใจว่ายังสับสนกันอยู่เกี่ยวกับอุดมคติทางการเมือง)” ตามทัศนะของ พระธรรมโกศาจารย์ พุททาสภิกขุ ที่ได้แสดงเอาไว้ในการอบรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มพุทธศาสตร์ เรื่อง “ภาษาเกี่ยวกับการเมือง” (https://pagoda.or.th/buddhadasa/20230330.html) ดังได้นำความมาเผยแพร่ ดังนี้
“…นายทุน กรรมกร เศรษฐี ทาส
ทีนี้ก็จะดูต่อไป ถึงคำที่มันเป็นปัญหาอื่นๆ ที่นี้ก็คำที่มีความหมายเป็นพิเศษ ที่ทำให้หลงกันอยู่ คำว่านายทุนกับคำว่าชนกรรมาชีพ นี้คู่หนึ่ง คำว่าเศรษฐีกับคำว่าทาสนี้คู่หนึ่ง
คำว่าเศรษฐีในครั้งพุทธกาล ไม่ใช่นายทุนอย่างสมัยนี้ คำว่าเศรษฐีอย่างครั้งพุทธกาลเค้าสะสมทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะงั้นคำว่าเศรษฐีครั้งนั้น ก็คือผู้ที่มีโรงทาน ถ้าว่าไม่มีโรงทาน ก็ไม่เป็นเศรษฐีอย่างครั้งพุทธกาล หรือตามแบบครั้งพุทธกาล นายทุนอย่างสมัยนี้ เค้าไม่ต้องมีโรงทาน เพราะว่าเค้ามีทุนมาก เค้าลงทุนเพื่อกอบโกยกำไร ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าเป็นเศรษฐีครั้งพุทธกาล และก็จะต้องมีโรงทาน จึงจะเรียกว่าเป็นเศรษฐี เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นทาสในครั้งพุทธกาลที่เป็นทาสของเศรษฐี ช่วยเศรษฐีหาทุนเพื่อโรงทาน ทาสเดี๋ยวนี้มันก็เป็นทาสขี้ข้าที่หากำไรของพวกนายทุน คำมันเปลี่ยนแปลงความหมาย
ถ้าเศรษฐีครั้งพุทธกาลนั้น เค้าก็จะมีแต่โรงทานสำหรับช่วยเหลือคนจน ถ้าเป็นทาสในสมัยนั้นอย่างเศรษฐีก็คือร่วมมือกับเศรษฐีเพื่อหาทุนมาหล่อเลี้ยงโรงทาน ถ้ามันเป็นทาสของพวกนายทุน มันก็เป็นขี้ข้า หรือว่าเป็นเครื่องมือสำหรับหาทุน เพื่อความร่ำรวยของนายทุน ถ้าเป็นเศรษฐีครั้งพุทธกาล มันไม่ใช่นายทุน มันเป็นผู้ที่หาเงินมาเพื่อตั้งโรงทาน เพราะเขาวัดความเป็นเศรษฐีด้วยการมีโรงทานมาก หรือมีโรงทานน้อย นี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องดูให้ดีว่า ธรรมมันหลอกลวงยิ่งขึ้นทุกทีตามยุคตามสมัย
ความเจริญ ความเสื่อม
มันก็เลยอยากจะให้ดูไปถึงคำต่อไปที่ว่าความเจริญ หรือความเสื่อม ความเจริญ ถ้าเป็นในทางวัตถุมันก็ก้าวหน้าในทางวัตถุแต่มันลงเหวในทางวิญญาณทางจิตใจ ความเจริญอย่างวัตถุมันจะทิ้งพระเจ้า มันทิ้งพระธรรม เพราะงั้น คุณระวังให้ดี ที่จะไปชอบความเจริญ ดูว่าความเจริญอย่างไร ความเจริญทางวัตถุ มันก็ก้าวหน้าทางวัตถุ แล้วมันจะเกลียดพระเจ้า มันจะเกลียดธรรมมะ แล้วมันก็จะลงเหวทางวิญญาณ ที่นี้ความเสื่อม ถ้ามันเสื่อมทางวัตถุ มันก็ขาดแคลนทางวัตถุ ไม่เป็นไร แต่ขอให้มันสูง มันร่ำรวยทางวิญญาณ มันก็ไม่ยอมลงเหวเพื่ออบายมุข มันจะไม่ทิ้งพระเจ้า คำว่าวัตถุกับคำว่าวิญญาณ มันคู่กันอยู่ มันสำคัญอยู่ที่ทางวิญญาณหรือว่าทางจิตใจ ความเจริญทางวัตถุ มันจะปิดบังความเจริญทางจิตใจ ระวังให้ดี ถ้าพวกเรามัวเมาความเจริญทางวัตถุกันแล้ว ระวังให้ดี จิตใจมันจะเสื่อม ต่ำละลายไปโดยไม่รู้สึกตัว คำว่าเจริญ เจริญน่ะ ระวังให้ดี ให้มันควบคู่กันไปทั้งทางวัตถุ ทั้งทางจิตใจ…”(อ่านต่อฉบับหน้า)