รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

ประธานที่ปรึกษาสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

การเลือกตั้งทั่วไป 2566 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้พลิกโฉมประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายหน้า ด้วยมี เหตุการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายข้อที่ต้องบันทึกและจดจำ อาทิ ทุบสถิติใหม่ - จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 52,241,808 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศร้อยละ 75.22 คิดเป็น 39,298,867 คน สูงกว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่ กกต. เคยจัดมาก่อนหน้านี้ทุกครั้ง

หัวคะแนนธรรมชาติ - แม้ทรัพยากรทางการเงินจะด้อยกว่าพรรคการเมืองอื่น แต่สื่ออออนไลน์ก็ส่งให้เกิดหัวคะแนนธรรมชาติช่วยเดินหน้าให้กับ “พรรคส้ม” นับว่าเป็นแพลตฟอร์มการบอกต่อที่ทรงพลังเหนือคาดเมื่อมาถูกจังหวะเวลา

เวทีดีเบต – การขึ้นเวทีดีเบตกลายเป็นเครื่องมือเรียกเรตติ้งหรือคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมือง ยิ่งถ้าได้ตัวแทนพรรคที่ฝีปากเก่ง สมองไว ฉลาดคิด โต้ตอบมีตรรกะ ก็โกยคะแนนคนฟังไปแบบชิว ๆ สบาย ๆ 

กระแสชนะกระสุน - ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับกระแสจนเกิดปรากฏการณ์ “พรรคส้ม” ฟีเวอร์ ไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งปาดหน้าแซงพาพลพรรคเข้าสภาถึง 152 ที่นั่ง สูงกว่าทุกพรรค จนกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งหนนี้กระสุนด้านไม่ทำงาน  

ล้มสนามกทม. - “พรรคส้ม” พาเหรดเดินเข้าสภาเกือบยกเข่งกทม. พ่ายเฉพาะเขต 20 ลาดกระบังแค่เขตเดียว โดยพรรค
เพื่อไทยเฉือนชนะเพียง 4 แต้ม 

งูเห่าตายเกลื่อน - บรรดา ส.ส.ที่ย้ายพรรคหันไปซบบ้านใหม่บ้านใหญ่พากัน “สอบตก” ระนาว บางจังหวัดถึงตายยกฟาร์ม

โพลออร์แกนิก - การสำรวจความคิดเห็นประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเดียวของสื่อมติชน-เดลินิวส์ ที่จับมือกันสำรวจ 2 รอบ กลายเป็นโพลที่แม่นยำสอดคล้องกับผลเลือกตั้งจริงมากที่สุด ถึงกับหักปากกาเซียนวิเคราะห์การเมืองทุกค่าย ใครเลยจะคิดว่าโพลสนามจะถูกปลิด

ตลาดหุ้นไทยร่วง - เมื่อการเลือกตั้งจบและรู้ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ปกติตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีดขึ้น ขานรับรัฐบาลใหม่และทีมเศรษฐกิจใหม่ แต่คราวนี้ผิดฟอร์ม “หล่น” หลังรู้ “ก้าวไกล” ชนะเลือกตั้ง กลัวตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

สำหรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยที่น่าจับตาสูงสุดขณะนี้ ไม่พ้นต้องลุ้นกันสุดตัวว่าไทยจะได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีใหม่คนที่ 30 “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ด้วยวัย 42 ปี หรือไม่? หากใจกว้างและให้โอกาสกับ “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ผู้มีอำนาจกุมหมากการเมืองไทยห้วงนี้ก็ไม่ควรไปดับหรือฝืนกระแสความหวังและความต้องการของคนไทยส่วนใหญ่

หลัง กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อาจจะเป็นหนึ่งในนายกฯของไทยที่เข้าข่ายอายุน้อยแตะหลัก 4 ซึ่งที่ผ่านมามีเพียง 4 คนเท่านั้นไม่นับรวม ‘พิธา’ ได้แก่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อายุ 40 ปี ผู้ครองตำแหน่งนายกฯอายุน้อยที่สุด ตามมาด้วยจอมพล ป. พิบูลสงคราม 41 ปี นายปรีดี พนมยงค์ 46 ปี และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา 48 ปี

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะต้องเสี่ยงกับคนรุ่นใหม่ ก็นับว่าเป็นความเสี่ยงที่น่าเสี่ยง เพราะคงต้องยอมรับกันว่า ณ ห้วงเวลานี้ การเมืองไทยเป็นจังหวะของคนหน้าใหม่ผู้รักประชาธิปไตย ซึ่งพรรค “ก้าวไกล” เป็นพรรคที่มากไปด้วยคนรุ่นใหม่ อายุน้อย ดีกรีดีโปรไฟล์เยี่ยม แม้ว่าจะยังไม่เคยมีประสบการณ์การบริหารประเทศมาก่อน แต่ด้วยความเยาว์วัยแต่เฉลียวฉลาด “Young but Smart” สื่อสารเยี่ยม ไหวพริบยอด เชื่อว่าจะสามารถนำรัฐไทยก้าวไกลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และรับมือกับปัญหาความท้าทายใหม่ที่ต้องเผชิญได้ไม่ยากนัก

ส่วนเหตุหรือตัวแปรสำคัญที่จะดันการเมืองใหม่พลิกผันและผลักให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ไม่สำเร็จ และจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็คงมีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีหุ้น ITV ที่ ‘พิธา’ อาจสะดุดขาตัวเองซ้ำรอย ‘ธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ’ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผลประโยชน์และเงื่อนไขที่ตกลงกันไม่ลงโดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาล และ แนวทางการปรับแก้ไขมาตรา 112 เป็นต้น

อย่างไรก็ดีหากพรรคก้าวไกลแกนนำจัดตั้งรัฐบาลฝ่าด่านการรวมพรรคผสมร่วมรัฐบาลใหม่สำเร็จจาก ส.ส. 309 เสียง และได้เสียง ส.ว.เพิ่มอีก 67 เสียง รวมเป็น 376 เสียง ปิดดีลเพื่อเลือกนายกฯ มิติใหม่การเมืองไทยที่น่าสนใจที่ไม่เคยทำกันมาก่อนและหากทำได้จริงจะกลายเป็นโมเดลใหม่ทางการเมืองไทยคือ ‘บันทึกข้อตกลงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล’ หรือ MOU (Memorandum of Understanding) เพื่อเป็นหลักประกันการสร้างผลงานบริหารประเทศร่วมกัน มิใช่และมิให้เป็นผลงานของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น   

การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไทยจะสำเร็จเกิดขึ้นจริง ต้องอาศัย ส.ส.จากหลายพรรคการเมือง และหลายเสียงของ ส.ว. ผู้มีอำนาจชี้ชะตาเลือกนายกรัฐมนตรี จงอย่าปล่อย!!! ให้ประชาชนคนไทยฝันค้างกันนะครับ กู๊ดลักค์ไทยแลนด์...