รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

ประธานที่ปรึกษาสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

“ยุบสภาจริง” เป็นไปตามความคาดหมายของบรรดาเซียนการเมือง เพื่อเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ก่อนสภาผู้แทนราษฎรจะหมดวาระในวันที่ 23 มีนาคมนี้ โดยเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 และให้มีผลในวันเดียวกัน สัญญาณจากนายกฯประยุทธ์ที่เคยถูกจับตาว่าจะนำไปสู่การยุบสภาคือ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา

‘การยุบสภา’ เป็นเครื่องมือทางการเมืองตามระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย ต้องกระทำก่อนสภาสิ้นอายุ ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้เมื่อนายกรัฐมนตรีเสนอ

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการยุบสภา คือทุกที่นั่งในสภาจะว่างลงทันที สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงจนกว่าจะมี
การเลือกตั้งทั่วไปใหม่ และ “คณะรัฐมนตรีรักษาการ” จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่าไว้หลายมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไป อาทิ

“การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเวลา 45-60 วัน โดยวันเลือกตั้งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร” -- มาตรา 103 ระบุว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

“เมื่อมีการยุบสภาเกิดขึ้น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า
30 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง” -- มาตรา 97 ระบุว่า บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร... (3) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภาระยะเวลา 90 วันดังกล่าวให้ลดลงเหลือ 30 วัน

ประเด็นอื่นที่เชื่อมโยงการเลือกตั้งทั่วไป 2566 เช่น

“ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงบการเลือกตั้ง” -- คณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินสำหรับการจัดเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอในวงเงินประมาณ 5.9 พันล้านบาท (5,945 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไปปี 2562 กกต. ใช้งบประมาณราว 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,745 ล้านบาท ภายหลังจากที่มีการประชุมกับพรรคการเมืองทั้งหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ประกอบด้วย ค่าใช้จ่าย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 รายชื่อ จะต้องไม่เกิน 44 ล้านบาท ส่วน ส.ส.เขต
แต่ละคนต้องไม่เกินคนละ 1.9 ล้านบาท

“การปฏิบัติตัวของข้าราชการพลเรือนและนักการเมืองกับการเลือกตั้ง” -- ข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลางตามกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน รวมถึงข้าราชการใน อบจ. สำหรับหน่วยงานท้องถิ่นสามารถช่วยหาเสียงได้เฉพาะในเวลานอกราชการ นักการเมืองห้ามมิให้ใช้อำนาจรัฐลงพื้นที่หาเสียง

“เดือนกรกฎาคม เป็นเดือนแห่งการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่” -- ไทม์ไลน์หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ที่คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2566 คือต้นเดือนกรกฎาคมจะประกาศผลการเลือกตั้งได้ทั้ง 500 คน กลางเดือนกรกฎาคมประกาศการตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร ปลายเดือนกรกฎาคมจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี และเดือนสิงหาคมมีรัฐมนตรีจากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้คาดการณ์เกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ว่า เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล เพราะกว่าจะถึงการเลือกตั้งจริง มีสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกทาง

ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับภาคธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ประเมินว่า ‘การเลือกตั้งทั่วไปถือเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากสร้างความคาดหวังเชิงบวกว่ารัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศจะมีนโยบายใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ’

ตามสถิติค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปีจากการเลือกตั้งจำนวน 5 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า SET Index ปรับตัวสูงขึ้น 2 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก 3.4%  และช่วงที่ 2 หลังจากวันเลือกตั้งระยะเวลา 1 เดือน โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก 5%

ในการประกาศยุบสภาของนายกฯประยุทธ์ถือว่าเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่มีสิทธิเลือกตั้ง ได้ชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยและตัวเองอีกครั้ง ซึ่งจำนวนคนไทยที่มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ Gen X อายุ 42-57 ปี จำนวน 16.15 ล้านคน รองลงมาคือ Gen Y อายุ 26-41 ปี จำนวน 15.10 ล้านคน Gen B อายุ 58-76 ปี จำนวน 11.84 ล้านคน และน้อยที่สุดคือ Gen Z อายุ 18-25 ปี จำนวน 6.68 ล้านคน

เมื่อโอกาสและอำนาจกลับคืนมาในมือของท่านทุก Gen แล้ว ขอให้คิดรอบคอบ กาให้ถูกคน ถูกเบอร์ ถูกพรรค เพราะกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกก็ต้องรอนานหลายปี … จงอย่านอนหลับทับสิทธิกันครับ !!!