ในหลายเวทีปราศรัยของ พรรคเพื่อไทย  นอกจาก แกนนำพรรค จะปลุกใจ เรียกร้องให้โหวตเตอร์ลงคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรค เพื่อร่วมกันผลักดันเป้าหมายชัยชนะแบบ แลนด์สไลด์ซึ่งวันนี้เพื่อไทยปักธงสถิติใหม่ เอาไว้ที่ 310 ส.ส.แล้ว 


 ยังพบว่า แกนนำตั้งแต่หัวขบวนอย่าง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เต้น ณัฐวุฒิ  ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ยังระบุถึง โจทย์ใหญ่ ที่จะกลายเป็น ขวากหนาม ขวางทางเดินตั้งรัฐบาล คือ 250ส.ว. ที่จะใช้สิทธิโหวตเลือก นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในรัฐสภา หลังเลือกตั้ง 


 นพ.ชลน่าน ปราศรัยตอนหนึ่งที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค.66 ที่ผ่านมา  หากเราไม่ได้เสียงถึง 310 เสียง เราจะไม่มีโอกาสเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา เพราะว่า ส.ว. มีเสียงรอไว้แล้ว 250 เสียง ขณะที่ของเราเป้าหมายเดิมแค่ 250 เสียงหรือ 270 เสียงนั้น เสียงยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 375 เสียง โอกาสที่เราจะตั้งรัฐบาลจะเป็นไปไม่ได้ เราจึงต้องคิดใหญ่ เอาเสียงส.ส.ให้ถึง 310 เสียง 
 และยังมีไฮไลท์ที่นพ.ชลน่าน ปราศรัยชัดเจน ว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ กลับเข้ามาได้รอบนี้ เขาจะอยู่ยาว เพราะเขาจะสามารถแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มีอำนาจเลือกเขาอยู่ต่อและเขาก็แก้วาระ 8 ปีให้อยู่ไปยาว ดังนั้น ถ้าเราชนะ 310 เสียง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปจับมือกับใคร 
 ในความเป็นจริงแล้ว ความวิตกของพรรคเพื่อไทย ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่เกินเลย หากแต่นี่คือ การที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กุมความได้เปรียบเอาไว้ในมือ 


 แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย แล้วแน่นอนว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมถือเดิมพันสูงกว่า พรรคก้าวไกล และพรรคเสรีรวมไทย ที่แม้จะเป็นพรรคฝ่ายค้านมาด้วยตลอด 4ปี แต่การเป็น รัฐบาลพรรคเดียว คือการตอบโจทย์ของพรรคเพื่อไทยมากที่สุด 


 เมื่อ250 ส.ว. คือตัวแปรหลักในการ แพ้-ชนะ ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยเดินทางไปได้ถึงทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ จึงกลายเป็น แรงบีบ ที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ตั้งดันเพดานตัวเลขแลนด์สไลด์ พุ่งไปถึง 310 เสียง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงจะชนะศึกในสนามเลือกตั้ง ก็ยังไม่อาจชนะสงคราม ทางการเมืองได้อยู่ดี !!