จากกรณีบริการ VVIP นักท่องเที่ยวชาวจีนจ่ายเงินพิเศษเพื่อผ่านด่าน ตม. พร้อมรถตำรวจบริการส่งถึงที่พัก ต่อด้วยกรณีดาราสาวชาวไต้หวันถูกเรียกเงินฐานมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง มาจนถึงบ่นพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” ไม่เพียงแต่ทำให้สังคมต่างพากันพูดถึงการใช้อำนาจในทางที่ผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต คอร์รัปชัน เรียกรับผลประโยชน์ให้ตัวเองและองค์กร

แต่ยังทำให้เกิดคำถามตามมาถึงความเหมาะสมของกฎหมายไทยที่ไม่ปรับปรุงให้ตอบสนองกับสภาพสังคม เทคโนโลยี และความต้องการของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ยังคงยึดโยงกับเรื่องของศีลธรรมและตอกย้ำภาพของบุหรี่ การพนัน ให้เป็นสีดำ หรือเป็นผู้ร้ายในสังคม

ดังเช่นกรณีของบุหรี่ไฟฟ้า ที่กฎหมายไทยในปัจจุบันกำหนดให้เป็นสินค้าผิดกฎหมาย ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย และห้ามให้บริการ เพราะต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปราศจากคนสูบบุหรี่ทุกชนิด ตรงกันข้ามกับอีกหลายๆ ประเทศ ที่ไม่ได้มีการห้ามใช้หรือห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่เป็นที่น่าแปลกใจที่เราสามารถพบเห็นการซื้อ การขายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าแบบเป็นปกติชินตาแม้ว่าจะเป็นสินค้าต้องห้ามก็ตาม

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ถึงขั้นระบุว่า “ให้เลิกดัดจริต” เพราะการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามันฝืนวิถีชีวิตประชาชน เป็นสาเหตุให้เกิดการลักลอบใช้ ลักลอบซื้อขายทั้งตามตลาดนัดหรือช่องทางออนไลน์ จนทำให้เกิดธุรกิจผิดกฎหมาย เกิดการเรียก “ส่วย” กันวุ่นไปหมด การไล่ปิดเว็บไซต์ของกระทรวงดีไอเอส จึงเป็นการแก้ปัญที่ปลายเหตุ จึงควรเปลี่ยนส่วยให้เป็นภาษี

เช่นเดียวกับกรณีของการเล่นพนันทุกชนิดซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ด้วยถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ทว่าการเล่นพนันนั้นเป็นที่นิยมกันมาอย่างช้านานแม้จะมีกฎหมายห้าม แต่ก็ยังมีการลักลอบเปิดบ่อนและเว็ปพนันออนไลน์ ตอบโจทย์พฤติกรรมนักเสี่ยงโชครุ่นใหม่ๆ ที่คุ้นเคยกับสังคมออนไลน์และนิยมเสี่ยงโชคกันง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว จึงทำให้เว็ปพนันออนไลน์เหล่านี้เติบโตแบบก้าวกระโดด

เรื่องของการเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมายจึงเป็นเรื่องที่สังคมไทยถกเถียงกันมานาน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่อาจได้ข้อสรุปได้ แม้จะมีตัวอย่างจากหลายประเทศว่าการพนันแบบถูกกฎหมายทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมได้และยังสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าได้เคยแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน ‘ร่วมมือ’ เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน ‘อยู่บนโต๊ะ’ โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล”

ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถไล่เรียงไปถึงเรื่อง หนังผู้ใหญ่ เซ็กส์ทอย ที่ก็ถูกสังคมตั้งคำถามถึงอยู่เป็นระยะๆ ว่าถึงเวลาทำให้ถูกกฎหมายได้หรือยัง

แน่นอนว่าบริบทของแต่ละประเทศย่อมต่างกันไป การทำให้สินค้าสีเทาๆ เหล่านี้เป็นเรื่องถูกกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาให้ดี แต่เราน่าจะได้เรียนรู้แล้วว่า “การห้าม” เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้ เราจึงยังคงเห็นการใช้และการเข้าถึงสินค้าเหล่านี้กันอย่างทั่วไป พร้อมกับข้อสงสัยในสังคมว่าทำไมมันถึงเป็นสินค้าผิดกฎหมาย

ทางออกที่ดีจึงคือการหาแนวทางควบคุมให้ถูกกฎหมาย ไปพร้อมๆ กับการให้ความรู้และปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องให้กับประชาชน แทนที่จะดันทุรังห้ามกันแบบนี้ แล้วผลักให้คนหลบๆ ซ่อนๆ มุดลงดินกันต่อไป กลายเป็นการสร้างรายได้และความมั่งคั่งให้กับกลุ่มที่ทำผิดกฎหมาย แต่ประชาชนต้องกลายเป็นผู้รับผลกระทบ

เมื่อเรื่องของการออกหรือแก้ไขกฎหมายเป็นหน้าที่และกระบวนการของรัฐสภา ก็ขอฝากไปยังรัฐบาลใหม่ให้จัดการให้มัน ‘อยู่บนโต๊ะ’ มีกฎหมายรองรับ มีการกำกับดูแลที่ดี เช่นห้ามการเข้าถึงของเยาวชน และมีการบังคับใช้กฎหมายได้ ซึ่งในท้ายที่สุดทั้งประชาชนและประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน