แม้จะมีการปลดล็อกเรื่องทรงผมนักเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการเผยแพร่ประกาศ ว่าด้วยการยกเลิกว่าด้วยการยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 พ.ศ.2566ให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวไปกำหนดเป็นระเบียบหรือข้อบังคับของสถานศึกษาแต่ละแห่งเอง ก็เกิดปฏิกิริยาที่บางโรงเรียนยังมีการกล้อนผมเด็ก ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ก็ยังถกเถียงในเรื่องดังกล่าว แต่ท่ามกลางการถกเถียง ก็มีการสะท้อนความไม่เป็นอารยะอยู่ด้วยการที่บางฝ่าย ไม่สามารถทนต่อความเห็นของอีกฝ่ายได้ และใช้พฤติกรรมเผด็จการด้วยการระดมรายงานไปยังเพจเฟซบุ๊ก ทำให้บางโพสต์ที่เห็นไม่ตรงกับตนเองนั้นต้องปลิวไป แม้เหตุผลที่เฟซบุ๊กจัดการกับโพสต์ดงกล่าวจะมาจากเรื่องกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่นำภาพของโรงเรียนมาใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตก็ตาม
กระนั้น เราลองไปพิจารณาเนื้อหาจากบทความดังกล่าวกันว่า เป็นอย่างไร โดยขออนุญาต เพจ “เลี้ยงลูกอย่างผม” มาเผยแพร่บางช่วงบางตอน ดังนี้
“ผมเพิ่งจะรู้ว่าเครื่องแบบและทรงผมนักเรียนมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างไรเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่เข้าประชุมผู้ปกครองนักเรียนใหม่ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
มีครูหลายคนผลัดขึ้นมาบอกเล่าและแนะนำเรื่องการเรียนการสอนซึ่งจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ที่จำได้จนถึงวันนี้คือ ครูใหญ่ของโรงเรียนในขณะนั้นได้พูดเกี่ยวกับเครื่องแบบและทรงผมนักเรียนว่า
" ความสำคัญอันดับแรกของเรื่องนี้คือเรื่องของความปลอดภัย โรงเรียนจะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามที่ไม่ได้สวมใส่ชุดนักเรียนเข้ามาในพื้นที่ของโรงเรียนอย่างเด็ดขาด หากไม่แสดงตัวและวัตถุประสงค์ในการเข้ามา ขอให้ผู้ปกครองมั่นใจได้ในเรื่องนี้
ความสำคัญอันดับต่อได้ที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าคือ เครื่องแบบและทรงผมนักเรียน เป็นก้าวเล็กๆก้าวแรกของการปลูกฝัง อบรม สั่งสอนให้นักเรียนรู้จัก ยอมรับ และปฏิบัติตามกฏกติกาของสังคม เรื่องระเบียบวินัย และเรื่องของกาละเทศะ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้จะติดตามและรับใช้นักเรียนของเราไปตลอดชีวิต ดังนั้นขอให้ผู้ปกครองทุกคนช่วยดูแลให้นักเรียนทำตามระเบียบของโรงเรียนในเรื่องนี้ด้วย
สำหรับผู้ปกครองและนักเรียนคนใดก็ตาม หากไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ ขอให้หาโรงเรียนใหม่แทนได้เลย "
(คำพูดคงไม่เป๊ะเพราะเวลาผ่านมานาน แต่ความหมายไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน)
หลังจากนั้น อีกสิบกว่าปี ลูกชายก็เรียนจบจากโรงเรียนแห่งนี้และสามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้ โดยไม่เคยมีปัญหาใดๆกับเรื่องนี้เลย
จากประสบการณ์ของผมเอง สิ่งที่ครูใหญ่พูดในวันนั้นเป็นจริงทุกอย่าง นักเรียนจากที่นี่หลายคนที่ผมได้มีโอกาสรู้จัก นอกจากเรียนได้ดีมากซึ่งน่าจะเป็นผลจากความมีระเบียบวินัยในการเรียนแล้ว ทุกคนนิสัยดีมากๆ ความประพฤติเรียบร้อย สุภาพ รู้จักกาละเทศะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะอยู่ในสังคมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ระดับไหนก็ตาม
ดังนั้น ขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ได้พิจารณาปลูกฝัง อบรม สั่งสอน ลูกให้รู้จักและยอมรับกติกา ทั้งของที่บ้านและที่โรงเรียน หากเขาโตพอที่จะเข้าใจแล้ว ก็ควรอธิบายด้วยว่า สังคมมนุษย์ปกติ ไม่ว่าจะที่ไหน ระดับไหน ต่างก็มีกฏ กติกา ทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเสรีภาพทั้งสิ้น”
ขออนุญาตไม่สรุป และขอให้เราๆท่านๆได้พิจารณา ด้วยวิจารณญาณของท่านเอง