กลายเป็นกระแสขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับกฎหมายนีรโทษกรรม หลังจากที่ พรรคพลังประชารัฐ ปรับยุทธศาสตร์ก้าวข้ามความขัดแย้ง และการออกมายอมรับของแกนนำพรรคว่าเตรียมจะผลักดันกฎหมายดังกล่าว

สอดรับกับสถานการณ์การเมืองไทยที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ซึ่งประเด็นหนึ่งในการปราศรัยของ น.ส.แพทองธาร ชินวิตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คือการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของนักกฎหมายอย่าง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าสภาคงไม่สามารถทำอะไรได้มากแล้วเนื่องจากใกล้ปิดสมัยประชุม คงทำได้เพียงพิจารณาร่างกฎหมายที่ยังค้างอยู่ให้เร็วที่สุด แต่หากเป็นการเสนอสำหรับสภาฯสมัยหน้า ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเสียงสนับสนุนในสภาฯ และประชาชนคิดอย่างไร

“ช่วงการเลือกตั้ง ใครมีอะไรก็มักพูดกันอยู่แล้ว อยากพูดก็พูด เหมือนการเปิดอภิปรายทั่วไปในสภา ซึ่งการพูดถือว่ามีประโยชน์กับคนพูดทั้งนั้น แต่จะเป็นประโยชน์กับผู้ฟังหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ส่วนกรณีที่หากนายทักษิณ จะกลับมาประเทศไทยได้โดยวิธีใดบ้างนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า จะมาด้วยวิธีไหน ไม่ทราบ ต้องถามจากนายทักษิณเอง เพราะเป็นคนอยากกลับมา และเมื่อกลับมาแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผลดี ผลเสียอย่างไรนั้น ก็ต้องประเมินและชั่งน้ำหนักเอาเอง

มีความเห็นของนักกฎหมายอีกคน คือนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ  สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มองว่า คดีของนายทักษิณ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต คดีเหล่านี้ ไม่มีใครกล้าออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะมีนักโทษคดีทุจริตอยู่จำนวนมาก  ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ หากนิรโทษกรรมคดีทุจริตกันหมดประชาชนคงไม่ยอม ทั้งนี้หากจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ ตามวิ.อาญา มาตรา 261 เป็นการเฉพาะตัว เฉพาะคดีทุจริตที่ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น และหากได้รับพระราขทานอภัยโทษ นายทักษิณก็ยังมีคดีอื่นที่ยังไม่ถึงที่สุดอีกหลายคดี คดีเหล่านั้นก็ขอพระราชทานอภัยโทษไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงที่สุด นายทักษิณก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีก โดยไม่ทราบว่าพอศาลจะตัดสินนายทักษิณจะหนีไปอีกหรือเปล่า

ดังนั้น หากพิเคราะห์จากความเห็นของ 2 นักกฎหมาย จึงคาดว่าแม้จะมีกระบวนการผลักดะนกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา นายทักษิณก็อาจจะไม่เข้าข่ายที่จะได้รับประโยชน์ หรือรวมนายทักษิณเข้าไปด้วย นั่นก็หมายความว่า จะมีเพียงการกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นที่เป็นทางออกในขณะนี้