เรื่องอื้อฉาวส่งท้ายปีกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงราชการไทย กรณีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ถูกจับกุมพร้อมเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการหน่วยงานในสังกัด ถือเป็นเรื่องที่สร้างแรงสั่นสะเทือนระดับแผ่นดินไหวทีเดียว

แม้เรื่องของการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้าย เป็นเรื่องที่หยั่งรากฝังลึกในระบบราชการไทย และดูเหมือนจะมีการรู้เห็นกันอยู่ แต่ไม่มีใครพูด หรือไม่กล้าพูด พูดไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือพูดไปแล้วอาจเป็นอันตรายแก่ตัว

อย่างไรก็ตาม กรณีที่เป็นข่าวนี้ อาจมองได้ 2 แง่ คือ เป็นการเอาจริงเอาจังในการปราบปรามการทุจริตจนเห็นผลชัดเจน มีการจับกุมแบบคาหนังคาเขา

ขณะที่อีกแง่ ก็ไม่อาจปฏิเสธว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์กันอย่างย่ามใจ จนข้าราชการผู้น้อยทนไม่ไหว

แต่ไม่ว่าจะเป็นแง่ใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วล้วนดีเสมอ เพราะกรณีที่เกิดขึ้น จะเป็นกรณีตัวอย่างให้ บรรดาบิ๊กๆทั้งหลาย หนาวๆร้อนๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้บรรดาข้าราชการชั้นผู้น้อยกล้าที่จะพูด หรือร้องเรียนมากขึ้น

หากย้อนกลับไปดู เราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง”

อย่างไรก็ตาม ตอนหนึ่งของการประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต ในงานวันต่อต้านคอรัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง”เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า “....ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ความสำคัญที่สุดในเรื่องการติดตามนำผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้รับโทษตามกฎหมาย ตามพยานหลักฐานที่มีอยู่โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอิทธิพลในสังคม ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะต้องดำเนินการให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อลดละและขจัดการทุจริตให้หมดสิ้นไป โดยพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เปิดกว้างรับฟัง เสริมสร้างความเข้มแข็ง และคงความเป็นอิสระของหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้โครงการพัฒนาประเทศ การค้า การลงทุน การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม สามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ยอมให้พลังความดี ความถูกต้อง ต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการดำเนินงานด้านการปราบปรา ม

การทุจริตที่มีความก้าวหน้าตามลำดับ เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม ทุกคนร่วมกันไม่ทำความผิดไม่เรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ ซึ่งปัญหาทุจริตเป็นปัญหาของทุกประเทศ แต่สามารถแก้ไขได้หากทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่เห็นประโยชน์จากการทุจริต มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรีตามวัยวุฒิและคุณวุฒิ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในสังคมร่วมกันเฝ้าระวัง ดูแลและเป็นหูเป็นตา ในขณะเดียวกันผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่รักษากฎกติกาก็ร่วมกันดูแลรับผิดชอบ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักฐานและกระบวนการตรวจสอบที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรมโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่ทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ ซึ่งการแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้นโดยเร็วที่สุด ร่วมกันสร้างจิตสำนึก ช่วยกันระมัดระวัง สอดส่อง ร้องทุกข์ กล่าวโทษ ทำให้สังคมเป็นสังคมสีขาวปลอดการทุจริตเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไป”