หนึ่งในของขวัญจากภาครัฐ คือมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 โดยลดภาษีให้ในอัตรา 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี พ.ศ.2566 ทั้งนี้ ราคาประเมินที่ดินใหม่ในรอบปี 2566-2569 ได้ปรับขึ้นจากฐานปี 2559-2562 เฉลี่ยประมาณ 8.93% โดยทำเลราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่ราคาสูงสุดได้แก่
อันดับ 1 คือ ถนนสีลม (ช่วงพระรามที่ 4 -นราธิวาสราชนครินทร์) ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดมาตั้งแต่รอบปี 59-92 ราคาอยู่ที่ 1,000,000 บาทต่อตารางวา
ส่วนที่ขยับเพิ่มมาใหม่ คือ ถนนเพลินจิต (ช่วงราชดำริ - ทางพิเศษเฉลิมมหานคร),ถนนพระรามที่ 1 (ช่วงราชดำริ - พญาไท) ถนนวิทยุ (ช่วงพระรามที่ 4 - เพลินจิต) และถนนวิทยุ (ช่วงเพลินจิต - คลองแสนแสบ ) ราคาอยู่ใหม่ที่ 1,000,000 บาทต่อตารางวาเช่นกัน
รองลงมา คือ ถนนราชดำริ (ช่วงเพลินจิต - คลองแสนแสบ) ราคา 900,000 บาทต่อตารางวา
ถนนสาทร (ช่วงพระรามที่ 4 - ถนนสุรศักดิ์,ถนนเจริญราษฎร์) ราคา 800,000 บาทต่อตารางวา ถนนสุขุมวิท (ช่วงทางพิเศษเฉลิมมหานคร - แยกอโศกมนตรี) ราคา 750,000 บาทต่อตารางวา และ ถนนเยาวราช ราคา 700,000 บาทต่อตารางวา
สำหรับทำเลที่มีการปรับราคมเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ ถนนวิทยุ (ช่วงพระรามที่ 4 - เพลินจิต) จากเดิมรอบปีบัญชี 59-62 ที่อยู่ที่ 500,000 บาทต่อตารางวา เพิ่มขึ้นเป็น 1,000,000 บาทต่อตารางวา หรือ 100% เนื่องจาก เป็นถนนย่านเศรษฐกิจที่กำลังกลับมาบูม
ราคาที่ดินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุดใน กทม. คือ เขตห้วยขวาง เพิ่มขึ้น 21.46% เนื่องจากมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มเข้ามาในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่า การปรับราคาประเมินที่ดิน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง แม้จะพบว่าอาจมีการซื้อขายที่สูงกว่าราคาประเมินไปมากก่อนหน้านี้ แต่ดัชนีราคาที่ดินกลางเมืองที่สูง ก็ต้องยอมรับว่าสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจ ที่นอกจากจะมีการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่ง โครงการรถไฟฟ้า การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ส่วนจะโชติช่วงชัชวาลขนาดไหนต้องดูบริบทอื่นๆประกอบด้วย