แม้จีนจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 หลังจากที่ก่อนหน้านี้บังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวดตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ที่กำหนดให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านและสั่งให้ภาคธุรกิจดำเนินงานจากทางไกลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดมวลชนออกมาท้าทายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่ เหตุการณ์ประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532

ล่าสุดได้อนุญาตให้พนักงานที่ป่วยติดเชื้อโควิดเพียงเล็กน้อย สามารถไปทำงานได้ตามปกติแล้ว เพื่อลดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ แม้การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว จะทำให้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น แต่หลายบริษัทก็ยังเลือกที่จะเสี่ยง

ขณะที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน หรือ (NHC) รายงานข้อมูล ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2565ว่า จีนพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 5 ราย เมื่อวันจันทร์ที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตในขณะนี้อยู่ที่ 52,542 ราย ส่วนผู้ป่วยรายใหม่มีจำนวน  2,722 ราย ทำให้จืนมีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้ว 383,175 ราย

อีกด้านหนึ่งมีท่าทีของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจขั้วตรงข้ามทอดไมตรีมายังจีน ประกาศความพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือด้านวัคซีนป้องกันโควิดแก่จีน รวมถึงเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น โดยก้าวข้ามจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันไปก่อน

แต่ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากจีนว่าจะขานรับข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯแสดงบทบาทเช่นนี้  ทว่าในฐานะที่เป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ หากจีนตอบรับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาไม่น้อย อีกทั้งยังอาจถูกมองว่าเอาไม่อยู่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทั้งสองชาติมหาอำนาจ เป็นผู้นำในการบริจาควัคซีนให้กับประเทศพันธมิตรต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่าการทูตวัคซีน โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ประกาศว่าจะทำตัวเป็นคลังวัคซีนให้กับโลกทีเดียว เช่นเดียวกับจีนที่ตอบรับคำขอความร่วมมือด้านวัคซีนกับประเทศต่างๆ ทั้งบริจาคตรงให้กับประเทศพันธมิตรและผ่านโครงการ COVAX 

อย่างไรก็ตาม แม้ที่สุดจีนจะไม่รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ แต่ก็เชื่อว่าจีนไม่อาจกลับไปใช้ไม้แข็งปิดเมืองได้อีก และเมื่อผ่านพ้นช่วงโควิดระบาดหนัก มีโอกาสที่จีนจะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ที่ไทยเราต้องตรียมรับทั้งผลบวกและลบ ด้านเศรษฐกิจ พลังงานและการท่องเที่ยว