สถาพร ศรีสัจจัง
ใครที่ได้ดูภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวู้ดเรื่อง “คานธี” (Gandhi) ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี ค.ศ. 1982 ย่อมจะตื่นตะลึงและสลดใจกับภาพในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนั้น นั่นคือ ภาพที่ทหารอังกฤษใช้กระบองไม้ทุบกะโหลกกลุ่มผู้ชุมนุมชาวอินเดีย ที่ยืนประท้วงแบบอหิงสากันอยู่ จนตายทันทีแบบ “ล้มทั้งยืน”
จากนั้น ผู้บังคับการทหารนาม พลจัตวา เรจินัล เอ็ดเวิร์ด แฮร์รี ดอยเออร์ ที่ได้รับแผนการฆ่าชาวอินเดียในครั้งนี้จาก เซอร์ ไมเคิล โอไดเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ว่าการแห่งแคว้นปัญจาบในขณะนั้นมาก่อนแล้ว ก็สั่งการให้ “ยิงทิ้ง” ผู้เข้าร่วมประท้วง “ผู้ปกครอง” อังกฤษในครั้งนั้นแบบ “หมดแม็ก” จนมีคนตายในทันที (เพียงแค่ช่วง 10 นาทีแห่งการกราดยิง) อย่างน้อย 375 คน ในจำนวนนั้นมีเด็กๆรวม 41 คน มีคนบาดเจ็บเป็นจำนวนกว่าพันคน!
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สวนสาธารณะจัลเลียนวาลาบักห์ แห่งเมืองอมฤตสาร์ แคว้นปัญจาบ(ถิ่นเดิมของบรรพชน และ พ่อ แม่ ของ นายริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ คนปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1919 (ตรงกับวันเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวซิกข์ในแคว้นปัญจาบ และวันสงกรานต์ของไทยพอดี) คนอินเดียเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การสังหารหมู่ที่จัลเลียนวาลาบักห์”
ในการจัดงานรำลึกวาระ “มหาโหด” ที่อังกฤษกระทำต่อชาวอินเดียครบรอบ 100 ปีในปี ค.ศ.2019 (เมื่อ 3 ปีก่อนนี้เอง) นายอมารินทร์ สิงห์ มุขมนตรีแห่งแคว้นปัญจาบ ขณะนั้นได้กล่าววาทะอย่างคั่งแค้นว่า “เราต้องการคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากอังกฤษในความป่าเถื่อนทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้!
นี่เป็นเพียงกรณีเดียวจากนับร้อยหรือนับพันกรณี ที่ “เจ้าอาณานิคม” อย่างอังกฤษในอดีตกระทำกับ “คนในปกครอง”อย่างชาวอินเดีย ในห้วงยามนับร้อยๆปีที่พวกเขามี “อำนาจเหนือ” ประเทศที่เป็นต้นธารอารยธรรมที่สำคัญของชาวเอเซีย!
นี่เป็นเพียง “ตราบาป” เล็กๆเมื่อเทียบกับ “บาป” อีกมากมายที่บรรพชนของชาวอังกฤษปัจจุบันได้กระทำต่อผู้คนประชาชาติต่างๆในแถบถิ่นทั่วโลก ในนามของ “ผู้ยึดครอง” “เจ้าอาณานิคม” หรือ “จักรวรรดิ” (Imperialist) หรือ “ผู้รุกรานกดขี่” ( The oppresser) ภายใต้การหลงผิดในความเชื่อที่ว่านี่คือ “ภารกิจของคนขาว” ( White man Burden) ซึ่งมี “อารยะ” เหนือชาติพันธุ์สีผิวอื่นใดในโลก!
จากกรณีอินเดีย ลองมาดูสิ่งที่บรรพชนชาวอังกฤษ กระทำกับประเทศจีนและชาวจีนในอดีต จนต้องได้รับฉายาว่าคือ “ยักษ์ป่วยแห่งเอเชีย” กันบ้างสักเล็กน้อย พอให้เห็นเป็นสังเขปว่า “โหดหิน” และ “มักมากเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้” แบบ “นักปล้น”หรือ “โจร” อย่างไรบ้าง!
เอาแค่กรณีการยกทัพบุกเข้าโจมตีเผาทำลาย และ “ปล้นทรัพย์สิน” พระราชวังฤดูร้อน “หยวนหมิงหยวน” ที่เป็นเสมือน “มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงค่า” ของสังคมจีนเพียงเรื่องเดียวก็น่าจะพอเห็นภาพของความโหดร้ายและตะกละตะกลาม!
อังกฤษยึดอินเดียได้แล้วก็เร่หาอาณานิคมและมุ่งค้าขายหากำไรมาทางแถบประเทศจีนในช่วงกลางๆศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนยังมีการปกครองแบบระบบศักดินา
ราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนอ่อนแอมาก ไม่ยอมเปิดประเทศค้าขายเสรี ทำให้ช่วงแรกๆบริษัทอินเดียตะวันออก (British East Indian company)ของรัฐบาลอังกฤษขาดดุลย์การค้าแก่จีนมาก(เพราะซื้อชาจากจีนมากแต่ขายของให้จีนไม่ได้) กระทั่งได้พบสินค้าตัวใหม่ คือ “ฝิ่น” จากอินเดีย
พวกเขาจึงนำสินค้าชนิดมาขายที่จีนจนชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม จีนไม่ยอม ประท้วงไปถึงพระนางวิคตอเรียแห่งอังกฤษ และ ยึดฝิ่นของอังกฤษมาทำลาย อังกฤษจึงถือโอกาสนี้เองเปิดสงคราม (เรียกว่า “สงครามฝิ่น” ครั้งที่ 1) จีนที่มีผู้นำอ่อนแอในยามนั้นต้องยอมแพ้ ต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามจำนวนมาก พร้อมกับต้องเปิดเสรีทางการค้าที่ 5 เมืองสำคัญ คือ กวางโจว เซี่ยเหมิน ฟูโจว หนิงโป และ เซี่ยงไฮ้ ทั้งยังต้องยอมยกเกาะฮ่องกง และ เกาะเล็กเกาะน้อยที่รายเรียงอยู่รอบๆให้อังกฤษเช่า!
จาก “สนธิสัญญานานกิง” ทำให้จีนต้องยอมให้อังกฤษขายฝื่นได้เสรียิ่งขึ้น จีนยิ่งอ่อนแอ จึงต่อต้าน ขณะนั้นจักรวรรดินิยมตะวันตกผู้รุกรานชาติอื่นๆก็เข้ามาร่วมรุม “กินโต้ะ” จีน อย่างมากหน้าหลายตาทั้ง ฝรั่งเศส อเมริกา และ รัสเซีย
จีนยึดฝิ่นของอังกฤษและสมาชิกคนจีนรักชาติที่เรียกกันว่า “กบฏนักมวย” ทำร้าย และฆ่าคนของอังกฤษ และ ฝรั่งเศส ทำให้ 2 ชาตินั้นใช้เป็นข้ออ้าง ส่งเรือรบเข้าปิดล้อมจีน โดยมีสหรัฐอเมริกาสนับสนุน!
อังกฤษและฝรั่งเศสบุกยึดและเผาทำลายพระราชวังฤดูร้อนอันยิ่งใหญ่สวยงามทรงคุณค่าของจีนคือพระราชวัง “หยวนหมิงหยวน” และ “ชิงอี่” แล้วเผาทำลายจนเหลือแต่ซาก (ไว้ให้คนจีนยุคปัจจุบันจดจำ) ปล้นสะดมสิ่งของมีค่าและโบราณวัตถุที่เป็นเสมือนมรดกทางวัฒนธรรมของชาวจีนในพระราชวังทั้งหมด มาแบ่งกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ งานศิลปวัฒนธรรมอันทรงค่าเหล่านี้ถูกกระจายไปในหมู่ผู้ชนะประมูล ส่วนหนึ่งยังคง “ประจาน” ให้เห็นถึงการปล้นครั้งนี้อยู่ใน “บริติช มิวเซียม” อันเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของอังกฤษอยู่ ก็มีไม่น้อย!
งานชุดสำคัญและโดดเด่นก็คือ “ปฏิมากรรมบรอนส์รูปหัวสัตว์ชุด 12 นักษัตร” ที่ฟังว่าตอนนี้ บรรดาเศรษฐีรุ่นใหม่ของจีนไปตามประมูลกันกลับมาไว้ในประเทศจนเกือบครบแล้ว ยังขาดอยู่เพียง 4 หัว!
หรือเราจะไม่อาจเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าเป็น “พฤติกรรมบาป”? หรือสิ่งเหล่านี้ จะไม่ใช่ “บาปบรรพชน” ของชาวอังกฤษ?
หรือ ผู้คนที่ต้องล้มตาย ต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งจากการถูกกวาดต้อนมาเป็นทาส จากการถูกฆ่าโดยทางตรง และทางอ้อม (อย่างคนจีนที่ถูกมอมเมาด้วยฝิ่นจนงอมแงม) ฯลฯ ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้ ทั้งในทวีปแอฟริกา ทั้งในเอเซีย อย่างใน อินเดีย จีน พม่า มลายู ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ใช่ “คน” ที่ล้วนมีศักดิ์มีศรี และมีสิทธิ์ในการที่จะมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับคนขาวชาวตะวันตก อย่างคนอังกฤษ?
หรือ เรื่องนี้นักประชาธิปไตยแบบอังกฤษ อย่างนายริชี ซูแน็ก ผู้มีเลือดอินเดียแท้ ผู้บูชาเทพเจ้าฮินดู ผู้ยึดพระคัมภีร์ภควัทคีตาเป็นสรณะ ที่กำลังได้ขึ้นเสวยบัลลังก์นายกรัฐมนตรีอันยิ่งใหญ่และทรงเกียรติแห่งประเทศสหราชอาณาจักรหรือ “อังกฤษ” อยู่ในขณะนี้ จะไม่รู้ประสีประสา และ “รู้สึก” อะไรเลย? อย่างน้อย ถ้าจะออกมาขอโทษชาวอินเดียบรรพบุรุษของตนเองอย่างเป็นทางการ ในกรณี “การสังหารหมู่” ที่เมืองอมฤตสาร์ บ้านปู่ย่าตายายของตัวเองเสียสักหน่อยจะเป็นอะไรไปนักหรือ?!!!