ยูร ไทรโยค
ผมย้ายจากกระต๊อบของชาวบ้านไปอยู่บ้านหลังใหม่ ก่อนที่บ้านจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ ยังไม่มีหน้าต่างมุ้งลวด ติดเหล็กดัดก่อน จะได้นอนอย่างอุ่นใจ ถึงแม้จะเป็นชนบท แต่โลกทุกวันนี้ที่ไหนก็ไว้ใจไม่ได้ ปลอดภัยไว้ก่อน ถึงแม้ยังไม่มีหน้าต่างมุ้งลวด ก็นอนได้ ยุงไม่ชุม เพราะไม่ใช่หน้าฝน
บริเวณที่ผมพักอาศัยเรียกว่า เขาโทน ภาษาทางการเรียก ชุมชนเขาโทน ผมอยู่เขาโทนบน เหตุที่รีบย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ ทั้งที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เพราะเป็นห่วงลูกแมวอายุสองเดือนที่ผมเจอที่นี่ พระท่านให้มา ผมตั้งชื่อว่า สีทอง เพราะขนเป็นสีทองระยับ ผมจะได้ดูแลลูกแมวใกล้ ๆ สีทองกับพี่น้องรวม 5 ตัว ถูกคนใจร้ายเอาไปริมฟุตบาทใกล้ร้านขายของในตลาด 5 พี่น้องพากันเดินเตาะแตะตามกันไปอย่างไร้เดียงสา
พระที่อยู่วัดน้ำตกห่างออกไปเอาไปเลี้ยง แต่พี่น้องก็ตายไล่ ๆ กันสองตัว อีกตัวเริ่มป่วย แล้วตายอีก พระท่านรีบพาสีทองกับพี่น้องที่เหลืออีกตัวไปหาหมอน้อยหน่า สัตวแพทย์ที่เปิดร้านรักษาสัตว์ ซึ่งมีร้านเดียวที่นี่ ฉีดวัคซีนไข้หัด ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้แมวมีโอกาสตายมากที่สุด จะเล่าต่อไปในโอกาสที่เหมาะสม
ตอนอาศัยอยู่ที่กระต๊อบ ผมต้องมาเปิดประตูห้องน้ำที่ผมขังสีทองไว้ ให้ออกมาอึและให้อาหารทุกเช้า เอาไปอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะชาวบ้านเลี้ยงหมาตั้งแปดตัว
ห้องน้ำสร้างแยกกับตัวบ้าน ไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน ช่างบอกว่าสร้างไม่ได้ เพราะเป็นทางน้ำไหล ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนักหรอก มารู้ซึ้งเรื่องทางน้ำไหล เมื่อสร้างความโกลาหลให้กับผมเป็นที่สุดถึง 2 ครั้ง ห้องน้ำก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยเหมือนกัน ยังไม่ได้ปูพื้นกระเบื้อง
บ้านหลังนี้นักเขียนชื่อดังคือ ไมตรี ลิมปิชาติ ผู้เขียนเรื่อง คนอยู่วัด ความรักของคุณฉุย ฯลฯตั้งชื่อให้ว่า “บ้านน้อยในป่ากว้าง” ส่วนเพื่อนทนายความที่กรุงเทพฯ ตั้งชื่อเชิงเย้าว่า “คฤหาสน์ยาจก” เพราะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ขนาด 3 คูณ 3.50 เมตร จะเรียกว่าห้องก็ได้ เพราะมีแค่ห้องเดียว ถึงแม้มีห้องเดียว แต่ให้ความสุขและความสงบสงัดกว่าบ้านที่กรุงเทพฯที่มีสี่ห้อง
บ้านอยู่ติดกับป่า ห่างจากป่าราว 4 เมตร ต้นไม้นานาชนิด รวมทั้งต้นไผ่ยืนต้นเบียดกันหนาทึบอยู่บนเนินสูงขึ้นไป ต้นกล้วยน้ำว้าอวดใบสีเขียวอ่อนอยู่ใกล้ ๆ ตัวบ้านหลายต้น แต่ยังไม่มีลูก ยามลมพัด ใบกล้วยโบกไสวไปมา ผมมองดูต้นกล้วยเป็นประจำ รอว่าเมื่อไหร่จะมีลูก เพราะ ชอบกินกล้วยน้ำว้า มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อยู่ที่กรุงเทพฯ ผมไปซื้อกล้วยน้ำว้าจากชาวบ้านย่านตลิ่งชันที่ผมอาศัยอยู่เป็นประจำ
ตอนอาศัยอยู่กระต๊อบของชาวบ้าน เขาจะแขวนกล้วยน้ำว้าที่เอามาจากไร่ไว้ที่เสาบ้าน ถ้ามีเยอะจะวางไว้บนพื้นกระดาน ผมปลิดกินเป็นประจำ เขาเอาให้ไปกินที่กระต๊อบเป็นเครือ ผมกิน ไม่ทัน เยอะเกินไป เลยโยนให้หมาที่มาชะเง้อคอรอกินเสียงดังตุ้บตั้บ มันแย่งกันกินด้วยความหิวโหย เพราะกินไม่อิ่ม มันจึงกินกระทั่งเปลือกกล้วย
ผมได้กล้วยมาเครือหนึ่ง บางลูกสุกแล้ว บางลูกเริ่มสุก ผมเอาไปแขวนไว้ที่เสาตรงชายคาที่สร้างซ้อนเหลื่อมกับหลังคาบ้านเพื่อกันแดดฝน อยากกินเมื่อไหร่ ก็เดินไปปลิดกินสะดวก เมื่อผมกลับมาจากข้างนอกในวันหนึ่ง เห็นถุงใส่อาหารเม็ดของแมวแขวนไว้ที่เสาอีกต้น
ตรงกันข้ามกันถูกเจาะ อาหารเม็ดร่วงลงพื้นกระจัดกระจาย คิดว่าคงเป็นหนู ชาวบ้านแถวนี้บอกว่าแถวนี้มีหนูวิ่งคึ่ก ๆ บนเพดานบ้านทุกคืน ผมจึงเอาถุงใส่อาหารเม็ดไปไว้ข้างในบ้าน
ตอนเดินออกมาจากประตู ไปปลิดกล้วยที่แขวนไว้ เพิ่งสังเกตเห็นว่ากล้วยบางลูกเหลือแต่ขั้ว บางลูกแหว่งเกือบทั้งลูก บางลูกแหว่งครึ่งลูก คิดในใจว่าคงเป็นหนูนั่นแหละ ผมจึงหิ้วเข้าไปไว้ข้างใน เมื่อชาวบ้านแวะมาเยี่ยม ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาบอกผมว่า “ไม่ใช่หนูหรอก คงเป็นนกมากกว่า”
ผมคิดว่าคงใช่อย่างที่เขาบอก เพราะนกที่นี่มีสารพัดชนิด บินว่อน บางครั้งโฉบเฉียดหัวผม จนหลบแทบไม่ทัน หนูคงไม่กล้าออกมาแทะถุงใส่อาหารเม็ดและกล้วยตอนกลางวัน
เมื่อไม่ใช่หนูมาแทะกล้วย ก็ไม่กลัวเรื่องเชื้อโรคโรค ผมจึงใช้มีดหั่นกล้วยจากเครือออกมาหวีหนึ่ง แล้วเอาไปแขวนไว้ที่เสาเหมือนเดิม มีเยอะ ก็แบ่งปันให้เพื่อนร่วมโลกได้กินบ้าง
ตกเย็น ผมเดินออกมาจากประตู หางตาเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ไต่ผับ ๆลงมาจากเสาที่แขวนกล้วยอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว เผ่นแผล็วหายลับเข้าไปในป่า มองไม่ทันว่าเป็นหนูหรือตัวอะไรกันแน่ แต่ไม่ใช่นกอย่างที่ชาวบ้านคนนี้บอกแน่นอน ถ้าไม่ใช่หนูอย่างที่ชาวบ้านแถวนี้บอก ก็ต้องเป็นตัวอะไรซักอย่าง ไปดูกล้วยที่เสา เห็นเปลือกกล้วยห้อยอยู่ กล้วยถูกแทะกินจนหมดลูก
ผมไม่เอากล้วยที่เหลือไปไว้ข้างใน ยังคงแขวนไว้ที่เสาเหมือนเดิม ตั้งใจแบ่งปันให้พวกเขาได้กินกันและอยากจะรู้ด้วยว่าตัวอะไรกันแน่ที่มาแทะกล้วยกิน
สายวันหนึ่ง ผมปั่นจักรยานออกไปถนนใหญ่ซื้อของกินของใช้ ขากลับแวะซื้อขนมครกตรงเพิงกลางซอย สายตาก็เหลือบไปเห็นสัตว์ลำตัวเล็ก สีเทา หางเป็นพวง กำลังแทะมะละกอสุกอยู่บนต้นมะละกอสูงชะลูดริมถนนในซอยอย่างเอร็ดอร่อย มองดูแล้วน่ารักจัง จนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ ผมจึงหันไปพูดกับป้าที่ขายขนมครก ในภายหลังจึงรู้ว่าชื่อ ป้าเล็ก
“มันคงหิวมากนะครับป้า”
“แต่ก่อนเยอะกว่านี้อีกนะคุณ คนเอาหนังสติ๊กยิง เลยไม่ค่อยออกมา” ป้าคนนี้บอกเล่า
“ใจร้ายจัง น่าสงสาร ดูซิ กันเอา ๆ" ผมพึมพำ
ผมกลับไปถึงบ้าน นึกอะไรขึ้นได้ จึงปลิดกล้วย 2 ลูก ไปเสียบไว้ที่กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากต้นไม้ ไม่ไกลจากตัวบ้าน บ่ายแก่เดินไปดู กล้วยยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีแหว่งเว้า แต่เละแล้ว เลยโยนทิ้ง
วันต่อมา ขณะที่นั่งอยู่ข้างนอก มองออกไปที่ต้นไม้ เห็นตัวอะไรบางอย่างไต่แผล็วอยู่บน
กิ่งไม้อีกด้านหนึ่ง มองเห็นว่อบแว่บ เพราะมีใบไม้บังพรางไว้ คิดในใจว่าที่ป้าขายขนมครกบอก ต้องใช่แน่นอน
ผมจึงเอากล้วยสองลูกไปเสียบไว้ที่กิ่งไม้ แล้วถอยออกมานั่งที่เก้าอี้หน้าบ้าน เป็นนาน
ทีเดียว จอมขโมยตัวเล็ก ๆ ก็ไต่แผล็วไปตามกิ่งไม้ตรงดิ่งไปยังกล้วยสองลูก จากนั้นก็เริ่มแทะกิน ผมค่อย ๆ เดินย่องตรงไปอย่างช้าๆ ด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด เอาโทรศัพท์มือถือติดไปด้วย โดยเปิดกล้องไว้พร้อม จนเดินไปใกล้ที่สุด พยายามยืนให้นิ่ง
ผมค่อย ๆ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เล็งไปยังภาพเบื้องหน้า แล้วแตะปุ่มถ่ายรูปสองครั้งเผื่อไว้ จากนั้นเลื่อนไปที่วิดีโอ แล้วแตะปุ่มถ่าย สองมือจับโทรศัพท์มือถือนิ่ง กระรอกสีเทาหม่นตัวเล็ก ๆ แทะกล้วยกินหมุบหมับพลางหันหัวหลุกหลิกไปมาอย่างระแวดระวัง ทันใด กระรอกตัวใหญ่กว่าตัวหนึ่งไต่ผับ ๆ ลงมาอย่างรวดเร็ว กระรอกตัวเล็กหันไปเห็น รีบไต่แผล็วหนีลงจากต้นไม้ในทันทีพร้อมกับเสียงร้องเล็ก ๆ
ผมจับโทรศัพท์มือถือส่ายตาม เพื่อจับภาพอย่างไม่ให้พลาด จู่ๆ มีกระรอกอีกตัวร่อนลงมาจากต้นไม้อีกต้น ราวกับเหาะลงมา เพราะมันคือกระรอกบิน
บางคนเข้าใจผิด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบ่าง ความจริงเป็นสัตว์คนละชนิด เพียงแต่มีความคล้ายกันคือ มีเนื้อคล้ายพังผืดยืดกางออกเป็นปีกจากขาหน้าไปยังขาหลังเหมือนกัน แต่บ่างจะยืดกางออกจากขาหลังไปยังหางด้วย
ผมรีบจับภาพด้วยวิดีโอตอนที่กระรอกบินร่อนลงไปเกาะกิ่งไม้ที่กระรอกตัวใหญ่กำลังแทะกล้วยกิน กระรอกตัวนี้รีบไต่หนีไปยังกิ่งไม้อีกต้น หายลับไปในทันที กระรอกบินลงมือแทะกล้วยกินทันที
นึกในใจว่ากระรอกบินคงร้ายกาจไม่เบา ไม่งั้นกระรอกตัวใหญ่คงไม่ไต่หนี กระรอกบินคงได้เปรียบตรงที่ร่อนได้ยังกับเหาะกระมัง กระรอกธรรมดาคงจะรู้พิษสงของกระรอกบินมาแล้ว เลยไม่กล้าต่อกร แต่กระรอกบิกร่อนได้ในระยะสั้น ๆ ระหว่างต้นไม้เท่านั้น ร่อนได้ไม่ไกลและไม่นาน
ผมเปรียบว่าคงเหมือนกับคนนั่นแหละ ถ้าคนหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศได้ต่อสู้กับคนเดินดิน จะสู้ได้ยังไง ในเมื่อคนที่เหาะได้ ย่อมได้เปรียบกว่าวันยังค่ำ
ไม่กี่อึดใจ กระรอกบินคงแทะกล้วยกินหมดแล้ว มองไม่เห็นชัดเจน เพราะมีใบไม้พรางไว้และยืนอยู่ห่างจากต้นไม้พอสมควร มันลอยตัวขึ้นพร้อมกับกางปีกที่คล้ายพังผืดร่อนขึ้นไป สวยงาม ตรงไปที่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลกัน มองดูแล้วรู้สึกทึ่ง มันคงมีความสุขมามากที่มีอิสระในการเหินไปเกาะต้นไม้แต่ละต้น เมื่อไขปริศนาได้แล้ว ว่าเป็นกระรอกนั่นเองที่มาขโมยแทะกล้วยกิน ไม่ใช่หนู ผมก็รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้แบ่งปันอาหารให้กับเพื่อนร่วมโลก
นับแต่นั้นมา ถ้าผมมีกล้วยน้ำว้า ผมจะเอาไปเสียบไว้ที่กิ่งไม้ให้กระรอกแทะกิน ผมมีความสุขเหลือเกินที่เห็นพวกเขาแทะกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อย ในสายตาของผมแล้ว พวกเขาเป็นจอมขโมยที่น่ารักเหลือเกิน