สถาพร ศรีสัจจัง

ยิ่งเข้าสู่ยุค “ดิจิทัล” ที่ส่งผลให้ระบบทุนนิยมเข้าสู่สภาพ “ไร้พรมแดน” อย่างสิ้นเชิง สหรัฐฯซึ่งถือครองขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน คือจนถึงปี 2022 มีจีดีพี มวลรวมถึงประมาณ 25.3 ล้านล้าน ยูเอส ดอลลาร์ ขณะที่มีประชากรเพียงประมาณ 330 ล้านคน หรือแค่ 4.2 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งโลก

ขณะที่จีนกับอินเดียที่มีประชากรรวมกันแล้วมากกว่า 2,800 ล้านคน แต่จีดีพีของจีน (ที่ 2 รองจากสหรัฐฯ) กลับมีเพียง 19.9 ล้านล้านยูเอสดอลลาร์  ส่วนอินเดียมีจีดีพี.ต่ำกว่านั้นอีกมากมาย              

การค้นพบและผูกขาดระบบเทคโลโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่า “นวัตกรรม” ไว้ได้ก่อนคนอื่น ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถกลายเป็นผู้ผลิตยุทธปัจจัยสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก!                

ทั้งที่เพื่อนำไปเสริมเป็นเขี้ยวเล็บ (เพื่อแสดงอำนาจเหนือ)ให้กับกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธที่เรียก “ทหาร” ทั้งที่ตั้งมั่นอยู่ในรูป “กองทัพ” ภายในประเทศ และที่กระจายตัวอยู่ ณ “ฐานทัพ” ต่างๆตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆทั่วโลก (ทั้งบนแผ่นดินและในมหาสมุทร)ที่พวกเขาไปจัดตั้งไว้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่นแล้ว!                  

และที่สำคัญคือการ “ขาย” หรือ “ติดสินบน” ยุทธปัจจัยเหล่านั้นด้วยวิธีต่างๆ ให้กับประเทศทั่วโลก ที่ปฏิบัติตัวเป็น “ผู้ติดตาม” ที่เห็นด้วยเชิงนโยบายที่สหรัฐอเมริกานำเสนอในการปกครองครองโลก!                    

กล่าวสรุปให้ชัดที่สุดก็คือ  นับแต่ยุค “ระเบิดปรมาณู” ลูกแรกที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่2   จนถึงระบบขีปนาวุธนิวเคลียส์สมัยใหม่ (และอื่นๆ)ในยุค “ดิจิทัล” ปัจจุบัน ประเทศนี้ยังคงเป็นเลิศ เป็นเบอร์ 1 ของโลก ในการถือครอง “ยุทธปัจจัย” ทางการทหาร ที่ดีที่สุด มากที่สุด ไว้สำหรับกำราบ ข่มขู่ รุกราน ฯลฯ และ “ขาย” เพื่อทำกำไรสูงสุดในรูปแบต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม!       

ตั้งแต่ยุคเริ่มรุกเข้าไปตั้งถิ่นฐาน (Settlement) บนแผ่นดินของชนเผ่าพื้นเมือง (ที่ส่วนใหญ่เรียกว่า “เรด อินเดียน”) ที่ปัจจุบันเรียกกันเต็มปากเต็มคำว่า “ทวีปอเมริกา” (ตามนามนักสำรวจ “อเมริโก เวสปุสซี”?) โน่นแล้ว ที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาเริ่ม “รุกราน” และใช้ “ยุทธปัจจัยและการทหารสมัยใหม่” ทำลายล้างชนเผ่าพื้นเมือง                    

ฟังว่าการทำลายล้างทั้งชีวิตคนพื้นเมือง และ ชีวิตสัตว์ป่า เช่น ควายไบซันในยุคนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและรุนแรง เรื่องนี้มีข้อมูลและงานศึกษาวิจัยรองรับเป็นจำนวนมาก                     

การได้รับชัยชนะทั้งต่อชาติพันธุ์อื่นที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และชัยชนะในการสร้างเครื่องมือ(Tool)ทำลายล้างชีวิตในรูปแบบต่างๆ ทำให้ชาติเกิดใหม่ที่มีอายุประเทศยังไม่ถึง 300 ปี อย่างสหรัฐอเมริกากลายเป็น “มหาอำนาจ” ทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองของโลกไปในที่สุด !                  

และเพื่อดำรงสถานะดังกล่าวไว้ให้ได้ (สถานะผู้ครองผลประโยชน์หลักของโลก) นับแต่ศตวรรษที่ 19 โน่นแล้ว ที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา ได้ดำเนินการเข้าไปเกี่ยวข้องและแทรกแซงประเทศต่างๆในทุกทวีปทั่วโลก ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองมาโดยตลอด                       

ใครที่อยากรู้เรื่องราวเหล่านี้โดยละเอียด ย่อมทำได้ไม่ยากนักในยุคปัจจุบัน เพียงลองตั้งหัวข้อให้เกี่ยวข้อง แล้วเคาะนิ้วเข้าไปถาม “อากู๋” ดู  ข้อมูลทั้งที่เป็นงานศึกษาวิจัยและบทความในรูปลักษณ์ต่างๆก็จะพรั่งพรูกันออกมาให้ประจักษ์จนอาจต้องใช้เวลาเป็นปีในการอ่าน!     

เอาแค่จากปี ค.ศ.1945 ที่สหรัฐอเมริกานำระเบิดปรมาณู 2 ลูก มาถล่มเมืองฮิโรชิมา และ นางาซากิของญี่ปุ่นที่มีคนตายไปทันทีเกือบ 2 แสนคน (ต้องเทียบพลเมืองโลกตอนนั้นว่ามีเท่าไหร่ด้วย) เรื่อยมาจนถึงถึงยุค “ดิจิทัล” (ที่ตะวันตกก้าวหน้าสุด)ในปัจจุบัน ลองประมาณกันดูก็แล้วกันว่า คนทั่วโลกที่ต้องบาดเจ็บล้มตายไปเพราะความ “ก้าวหน้า” ของยุทธปัจจัยทางการทหาร ที่ผลิตขึ้นโดยสหรัฐอเมริกามีเป็นจำนวนเท่าไหร่ไปแล้ว ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม(อย่างที่กำลังเกิดอยู่ที่ยูเครนนั่นไง!)                    

ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีรัฐบาลของประเทศต่างๆในทุกทวีปกี่ประเทศที่ถูกโค่นล้มโดยฝีมือองค์กรลับอย่างซีไอเอของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ในลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา และ เอเชีย!?                       

ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยเราเองละ?รู้กันบ้างไหมว่า ที่เพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอินโดจีนอย่าง เวียดนาม ลาว และ กัมพูชา ไม่ค่อยสนิทใจที่จะคบหาสมาคมกับเรานักมาจนถึงยุคปัจจุบันนั่นเป็นเพราะอะไร?                      

สงครามอินโดจีน ที่มีเวียดนามเป็นใจกลางเรื่อง มีลาว กัมพูชา และ ไทย เป็นบริบทสำคัญ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็น “นายทุน” ที่ทุ่มทั้งงบประมาณ กำลังทหาร และยุทธปัจจัย  อย่างมหาศาลแบบไม่เคยเป็นมาก่อน โดยใช้ “ไทยแลนด์” ซึ่งกลายเป็น “มหามิตร” ในยามนั้นเป็นฐานทัพสำคัญ โดยอ้างว่าเพื่อปฏิบัติการต่อต้าน “ทฤษฎีโดมิโน” ของลัทธิคอมมิวนิสต์

ในสงครามครั้งนี้ กล่าวโดยสรุปประมาณการ พบว่า มีคนเวียดนามทั้งทหารและพลเรือน (ทั้งเหนือ ใต้) ตายไปกว่า 3ล้าน/ลาวอีกกว่า 3 ล้าน/กัมพูชากว่า 6 แสน/ไทยเป็นของแถม มีทหารที่สมัครไปรบตายทั้งสิ้น (ตัวเลขทางการ) 351 นาย/บาดเจ็บ 1,358 นาย

ส่วนทหารสหรัฐอเมริกานั้น ตายไปกว่า 5 หมื่นนาย/บาดเจ็บอีกกว่า 3 แสน !

สงครามที่กินเวลาถึง 19 ปีครั้งนี้ (เริ่ม พ.ศ.2498 จบลงโดยอเมริกาแพ้สงครามครามเมื่อเดือนเมษายน 2518/ในเวียดนามจบปี 2516) ถือได้ว่าเป็นบาดแผลครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่เกิดจากการที่สหรัฐอเมริกาอ้างว่าเข้าไปทำสงครามในประเทศอื่นเพื่อ “ปกป้องประชาธิปไตย” (ไม่ยอมให้คนในประเทศนั้นๆได้เลือกชะตากรรมของพวกเขาเอง?) จนทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และแผ่นดินที่เป็นพื้นที่สงครามอย่างเช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา ต้องเต็มไปด้วยหายนะแห่งบาดแผลสงคราม!

หรือไม่เห็นด้วยว่า เรื่องราวเหล่านี้คือ “ความดิบเถื่อน” ที่มาจาก “วิธีคิดและยุทธปัจจัยของชาติตะวันตก” ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่!

หรือจะยังไม่เห็น ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏชัดอยู่ในแผ่นดินแถบยูเครน รัสเซีย/ บนคาบสมุทรเกาหลี ช่องแคบไต้หวัน  ในแผ่นดินอาหรับ และแม้แต่ในแถบอินโด แปซิฟิก ในยุค “ดิจิทัล” หรือยุค “กดปุ่มนิวเคลียร์” ที่กำลังประจักษ์อยู่ในปัจจุบันวันนี้ จะมีต้นเหตุมาจากอะไร หรือจากใคร?!!!!