สถาพร ศรีสัจจัง

“ระเบิดปรมาณู” (นิวเคลียร์นั่นแหละ!) ลูกแรกของโลกได้รับการขนานนามจากผู้เป็นเจ้าของ คือมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาว่า เจ้า “Little Boy” (บักหำน้อย)!

ปฐมเหตุแห่งการเกิดของมัน อาจจะเริ่มต้นตรงที่ นักฟิสิกส์เชื้อสายยิวผู้มีชื่อเสียงของโลกที่ชื่อ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ได้เขียนจดหมายฉบับสำคัญถึงประธานาธิบดี แฟลงกลิน ดี. รูสเวลท์ ของสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ.1939 (ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้ง 2) 

เนื้อในจดหมายฉบับนั้น เป็นการแจ้งข่าวให้ทราบว่า ผลการวิจัยทางฟิสิกส์ล่าสุดได้ข้อสรุปว่า  แร่กัมมันตภาพรังสีอย่างยูเรเนียม(และอาจจะอื่นๆ) สามารถนำมาพัฒนาเป็นระเบิดที่ให้พลังทำลายล้างสูงสุดได้อย่างแน่นอน(อย่างไม่เคยมีมาก่อนในโลก)

แถมหยอดท้ายให้พอได้ตื่นเต้นไว้เล็กน้อยด้วยว่า เยอรมัน (คู่สงคราม ภายใต้การนำของ อดอร์ฟ ฮิตเลอร์)กำลังสนใจทดลองเรื่องนี้อยู่…ขอให้ท่านประธานาธิบดีให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ

และขอให้เร่งเพิ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด… !          

ท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แฟลงกลิน ดี. รูสเวลท์ ในครั้งนั้น รีบสนองตอบแบบทันทีทันใด!               

เขาสั่งการให้จัดตั้ง “กรรมการด้านยูเรเนียม” ขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้คนที่ตัวเองไว้ใจคนหนึ่ง ชื่อนาย “แมน  บริกส์” เป็นหัวหน้าโครงการ             

ปีค.ศ.1941  ประธานาธิบดีรูสเวลท์ลงนามเห็นชอบให้จัดตั้งคณะนักวิทยาศาสตร์ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อ “พัฒนาการสร้างระเบิดปรมาณู” ลูกแรกของโลกขึ้น (หลังจากมีการ “จัดการ” กว้านซื้อตัวนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ลือนามชั้นหัวกะทิจากทั้งโลก เช่น โรเบิร์ต  ฮอฟเพนไฮเมอร์ และ อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ เป็นต้น  มากองไว้ในสหรัฐอเมริกาเพื่อการใช้งานได้มากพอแล้ว)     

โครงการดังกล่าวนี้ใช้ชื่อว่า “โครงการแมนฮัตตัน”

เพราะศูนย์วิจัย “ลับ” ทั้ง 10 แห่ง ที่เกี่ยวกับเรื่องระเบิดปรมาณูในครั้งนี้ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกว่า 5พันคน ล้วนอยู่ในเกาะแมนฮัตตันแห่งนั้น!

แล้วผลการวิจัยก็ประสบความสำเร็จ ระเบิดปรมาณูที่มีองค์ประกอบยูเรเนียมลูกแรกก็ได้รับการประกอบสร้างขึ้น จนเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ความร้ายแรงของระเบิดดังกล่าว

จะ “ทำลาย” ชีวิตผู้คนและทรัพย์สินในวงกว้างขนาดไหน!

ความเป็นกังวลดังกล่าวทำให้กลุ่มคณะนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในโครงการ ประชุมหารือกัน

และมีมติให้ทำบันทึกเป็นหนังสือถึงผู้มีอำนาจ เสนอแนะว่า จะต้องไม่ใช้ระเบิดดังกล่าวกับพลเรือนเป็นอันขาดขอให้ใช้เพื่อการทหารโดยตรงเท่านั้น!

มีนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในโครงการ ลงนามในท้ายบันทึก “หางว่าว” ครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 69 คน ผู้เขียนบทยกร่างดังกล่าว เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีคนสำคัญ ชื่อ นายลีโอ ซีลาร์ด ขอบันทึกชื่อให้เป็นที่ประจักษ์ไว้เป็นสำคัญ!

มีหรือที่ “ชนชั้นนำ” คนสำคัญของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี เฮนรี ทรูแมน

ผ้สืบอำนาจต่อจากประธานาธิบดี แฟลงกลิน ดี. รูสเวลท์ ในยามนั้นจะรับฟัง!

เขาเรียกคณะเสนาธิการทหารเข้าหารือเรื่องการจะจัดการ “เผด็จศึก” ขั้นเด็ดขาดกับญี่ปุ่น (เยอรมันแพ้สงครามไปเรียบร้อยแล้ว) โดยการสอบถามว่า ถ้าจะต้องยกพลขึ้นบกที่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาน่าจะต้องเสียกำลังพลไปสักประมาณเท่าไหร่กัน?

พลเอกจอร์จ  มาร์แชล ประธานเสนาผธิการทหารให้คำตอบว่า ถ้าใช้ยุทธวิธีเช่นนั้นเพื่อการเผด็จศึก สหรัฐฯน่าจะต้องสูญเสียกำลังทหารไปประมาณ 250,000 คน!

เท่านั้นเอง!บรรพชนผู้บริหารประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้น ก็ตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณู ซึ่งเป็น “นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์” ชิ้นใหม่เอี่ยมล่าสุด ที่ทุ่มเททั้งกำลังนักวิทยาศาสตร์ และ ทุนอย่างมหาศาลสร้างขึ้นเพื่อ “ทำลายล้างศัตรู” ในทันที

ชื่อเมืองเป้าหมายในประเทศญี่ปุ่นถูก “ลิสต์” ขึ้นมานับสิบชื่อ ถกเถียงเพื่อข้อสรุปเชิงหวังผลกันอยู่นาน แต่ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปลงในเดือนกรกฎาคม 1945 

เมืองโชคร้าย 4 เมือง ที่เป็นเป้าหมายในการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกาครั้งนั้น ได้แก่ เมืองฮิโรชิมา/เมืองโคคุระ/เมืองนีงาตะ/และเมืองนางาซากิ!

และแล้วก็ถึงเวลา…วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 พันเอกพอล ดับเบิลยู ทับเบตส์ นักบินทิ้งระเบิดผู้เชี่ยวชาญ แห่งกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา  ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทีม นำเครื่องบิน B-29 พร้อมคณะผู้ประกอบกรรมอีกกว่า 10 นาย บรรทุกระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกที่ได้รับการขนานนามเชิงขำขันจากผู้นำสหรัฐฯว่า “บักหำน้อย” (Little boy)บินมุ่งสู่ท้องฟ้าเหนือเมือง “ฮิโรชิมา”!

เมืองซึ่งได้รับเกียรติให้เป็นเมืองแรกของญี่ปุ่นและของโลก ในการ “ทดลอง” รองรับอานุภาพการทำลายล้างของระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก!(ที่ต้องเรียกว่า “ทดลอง” ก็เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จริงๆเลยว่า แรงฤทธิ์ที่แท้จริงของระเบิดดังกล่าวจะรุนแรงแค่ไหนเพียงใด!)

ผลที่ประจักษ์ที่ประจานมาจนปัจจุบันก็คือ พื้นที่เกือบ 1ใน 3 ของเมืองฮิโรชิมาถูกทำลายในชั่วพริบตา ไฟไหม้อยู่มากกว่า 3 คืน 3 วัน คน(รวมทั้งผู้หญิงเด็กและคนแก่) ตายทันทีกว่า 8 หมื่นชีวิต บาดเจ็บทุกทรมานจากกัมมันตภาพรังสีอีกนับไม่ถ้วน ต่อเนื่องสืบมาจนปัจจุบัน!

แต่…เลือดบูชิโดอย่างญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ระเบิดลูกที่ 2 (พลูโตเนียม)ที่ตั้งชื่อเสียสนุก(แบบอเมริกัน?)ว่า “ไอ้อ้วน” (Fat man) ก็ได้รับการลำเลียงมาหย่อนใส่เมือง “นางาซากิ” เป็น “อเมริกันบรรณาการ”คนตายทันทีอีกว่า 7 หมื่น!

นี่ไม่ใช่ “ปฐมกรรม” ในการสังหารมมนุษยชาติภายใต้นโยบายของชนชั้นปกครองแห่งประเทศที่ชื่อ “สหรัฐอเมริกา” แต่นับเป็นครั้งที่ “น่าหฤโหดที่สุด” และเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 75 ปี

ก่อนนี่เอง!

แต่ดูเหมือน แม้แต่โจทก์ใหญ่อย่างญี่ปุ่น ที่บ้านเมือง และ ชีวิตคนของตัวเองต้องพินาศไปต่อหน้าต่อตาแท้ๆก็เหมือนจะจำไม่ได้! และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนโลกปัจจุบันทั้งโลกก็จะลืมเลือนเรื่องพวกนี้ไปแล้วเช่นกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะปล่อยให้ “นักค้าสงคราม” ผู้ครอบครอง และ “ขายอาวุธ” มากที่สุดในโลก เหิมเกริม และ ลอยนวลอวดศักดาพลานุภาพอันยิ่งใหญ่อยู่ได้อย่างไรกัน?!