สถาพร ศรีสัจจัง

จักรวรรดินิยมตะวันตกในอดีต ใช้ความก้าวหน้าในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ตอบสนองเรื่องการพัฒนาอำนาจทาง “เศรษฐกิจการเมือง” ตลอดทุกห้วงประวัติศาสตร์ เมื่อลัทธิล่าเมืองขึ้นแบบโบราณจบลง และหน่อเชื้อของระบบ “ทุน” เริ่มก่อตัวขึ้น การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องพลังการผลิตในยุโรปอย่างรวดเร็วและรุนแรง 

การค้นพบ “เครื่องจักรไอน้ำ” และ สิ่งที่เกี่ยวกับดินปืน เช่น ระเบิดและอาวุธปืนที่พัฒนาขึ้น แบบก้าวกระโดด ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปอย่างสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และดัตช์ ส่งเสริมอุตสากรรมต่อเรือรบ อาวุธปืน (ทั้งปืนใหญ่และอื่นๆ) เพื่อ “ล่า” เมืองขึ้นกันอย่างกว้างขวาง

คำ “จักรวรรดินิยม” (Imperialism) เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย หลังปี ค.ศ. 1700 

และในช่วง ค.ศ. 1900 ข้อมูลทางวิชาการระบุว่า แผ่นดิน และประชากรในโลกประมาณร้อยละ 80 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร 10% เป็นของฝรั่งเศส 9% เป็นของดัตช์ และ ญี่ปุ่นยึดครองได้ประมาณ 4% !!

จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกา-จักรพรรดินิยมตัวใหม่ที่บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 น้อยที่สุด และกลายเป็นเจ้าของอาวุธที่เกิดจาก “ความคิดวิทยาศาสตร์” แบบใหม่ล่าสุดที่ “น่ากลัวที่สุดในโลก”  คือ “ระเบิดปรมาณู” ที่ เพิ่งถล่มเมืองฮิโรชิมะ และ นางาซากิ ของญี่ปุ่น จนคนต้องล้มตายนับแสน บาดเจ็บจนเกินนับ และก่อโรคอันตรายให้ชาวเมืองเหล่านั้นมาจนปัจจุบัน ก็เข้า “เทคโอเวอร์” อำนาจครองโลก เหนือจักรวรรดินิยมรุ่นเก่าแห่งยุโรปอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ดัตช์อย่างสิ้นเชิง

ก่อนที่จะบรรยายถึงความโหดร้าย เห็นแก่ตัว ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กักขฬะรุนแรง ฯลฯ ในการใชัอำนาจทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อสงครามรุกรานประเทศที่ด้อยอำนาจกว่าในทุกด้าน กดขี่ข่มเหง ปล้นทรัพยากร  ปล้นมรดกของชาติ ใช้เป็นตลาดระบายสินค้า ฯลฯ ของเหล่าบรรดาประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตกทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

ที่อ้างกันมาแต่เนิ่นนานแล้วว่า ที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็เพราะ “ต้องการเผยแพร่อารยธรรมที่เจริญแล้วของคนขาว”(White man burden) ให้กับบรรดาผู้คนในดินแดนที่ยัง “ป่าเถื่อน” ทั้งหลาย เพื่อจะได้มีอารยะ หรือ “ทันสมัยและพัฒนา” ขึ้นบ้าง !

จนถึงยุค “ดิจิทัล” ในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังคิดและทำเช่นนั้นกันอยู่ ! 

ว่ามีรายละเอียด (พอเป็นตัวอย่าง) อย่างไรบ้างนั้นตอนนี้ขอ “ข้ามช็อต” ไปพักสายตากับ “บทกวี” เกี่ยวกับ “ดิบเถื่อน ดิจิทัล ตะวันตก” ของผู้ใช้นาม “Anonymous” ดังที่ได้เกริ่นมาก่อนแล้ว สนองความต้องการของผู้เขียน (ตามคำที่ขอมา) กันสักหน่อยเถอะ!

อ่านแล้วอาจเห็นชัดเจนขึ้นว่า การค้นพบทาง “ฟิสิกส์” (ซึ่งเป็นรากฐานทางความคิดของบรรดาจักรวรรดินิยมตะวันตก)ของ นายเซ่อ ไอแซค “นิวตัน” (Newton) คือ “กฎแห่งแรงปฏิกิริยา” ที่สรุปว่า “เมื่อวัตถุหนึ่งออกแรงกระทำต่อวัตถุหนึ่ง วัตถุที่ถูกกระทำจะออกแรงกระทำกลับในขนาดที่เท่ากัน” (Action = Reaction) นั้นช่างเป็น “สัจจะ”อย่างแท้จริง!

บทกลอนของ “Anonymous” เรื่อง “ดิบเถื่อน ดิจิทัล-ตะวันตก”  มี(โดยไม่ตัดทอน)ดังนี้

" ๐ แม้ไม่เพ่งตาจ้อง-ก็มองเห็น/ถึงความเน่าเหม็นความเศร้าหมอง

ถึงมวลหลากซากศพทับทบกอง/ถึงเลือดที่หลั่งนองดังท้องธาร?

ด้วยจิตใจแบบ “เรขา เมคานิกส์”/ที่ทุกเรื่องต้อง “ฟิสิกส์” ไปทุกด้าน

ที่ทุกเรื่องต้องชนะ ต้องคะคาน/จึงยะโส จึงสามานย์ จึงเน่าใน!

จึงขานเรียกตนว่า “เผ่าอารยะ”/ผู้ผ่านชัยชนะอันยิ่งใหญ่

จึง “ทำลาย” ทุกสิ่งเพื่อชิงชัย/เพียงเพื่อตวง “กำไร” ใส่ตักตัว

ฆ่าคน ปล้นคลั่ง ไปทั้งโลก/ทั้งหลอกลวง ขู่กรรโชก ไปถ้วนทั่ว

ทั้งใจดำ ใจจืด ใจมืดมัว/สุมกิเลส ต่ำ-ชั่ว จนชาชิน

ค้าความตาย ค้าสงคราม ต่ำทรามนัก/ใจเหมือนยักษ์คลุ้มคลั่งไปทั้งสิ้น

ย่างถึงไหน,ดินต้องเดือด-เลือดต้องริน/ต้องแตกแยก-ต้องพังภินท์ สิ้นทุกเมือง!

ใช้ “เด-โม-เคร-ซี้” เป็นขี้ปาก/เพื่อแส่เสือก-ถุย-ขาก ไปทุกเรื่อง

ปลุกกิเลสโลดเถลิงจนเริงเรือง/เร้าแต่เรื่อง เกียรติ กาม กิน และ โกง

ปล้นสะดมรานรุกทุกถิ่นที่/เป็นหมอผีปลุกผีที่ตายโหง

มาหลอกคนถ้วนทั่วอยู่โทงโทง/ใครเปิดโปง-ก็กำราบก็ปราบปราม!

ใช้อำนาจ-ใช้อาวุธจุดไฟโลก/ทั้งนิวเคลียร์ทั้งเชื้อโรค-ปากพูดพล่าม

ใช้ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ต้องนิยาม/ก่อสงครามเลวร้ายขยายไกล!

คือดิบเถื่อนดิจิทัล ตะวันตก/ที่มากแผนสกปรกเพื่อเป็นใหญ่

เหมือนปอบเปรตเหมือนกระหังตัวจังไร/แดกไม่อิ่ม แดกเท่าไหร่ ไม่เคยพอ!

คือดิบเถื่อนดิจิทัล ตะวันตก/ทันสมัย แต่สกปรกแบบเหลือขอ

อีกไม่นาน รับรองต้องเจอตอ/อีกไม่นานเกิน ขอรับรอง…!!!ฯ

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีใคร “รับรอง” มั่งแต่งานนี้ ที่แน่ๆ รับรองได้ ว่าต้องไม่ใช่รัฐบาลของนายกฯลุงตู่อะไรนั่นแน่ๆ!!!