เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phongphit

สิงคโปร์ประกาศสงครามน้ำตาลสู้โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้คนป่วยคนตายมากขึ้นทุกวัน ทุกประเทศทั่วโลก ที่สิงคโปร์สูงกว่าหลายประเทศ ที่สำคัญ ทำให้สูญเสียบุคลากรและงบประมาณ

มาตรการของสิงคโปร์ คือห้ามโฆษณาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงในสื่อทุกชนิด และให้มีเครื่องหมายเป็นสีเพื่อแสดงปริมาณน้ำตาลบนฉลากอย่างชัดเจน พร้อมกับคำเตือนว่า “ไม่ดีต่อสุขภาพ”

สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในโลกที่มีนโยบายควบคุม “น้ำตาล” อย่าง “เด็ดขาด” เช่นนี้ ก่อนนี้มีเม็กซิโก สหราชอาณาจักร และแคนาดาที่ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มน้ำตาลสูงในสื่อต่างๆ ยกเว้นโทรทัศน์ สิงคโปร์เตือนด้วยว่า จะมีมาตรการเรื่องภาษีน้ำตาลในอาหารเครื่องดื่มตามมา

นโยบายสงครามน้ำตาลของสิงคโปร์ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเครื่องดื่ม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว อย่างแน่นอน แต่ประเทศเล็กๆ แห่งนี้มักทำอะไรดีๆ เรื่อง “แค่นี้” คงทำได้ไม่ยาก มีคอร์รัปชันน้อยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่มีลูบหน้าปะจมูก สุขภาพของประชาชนสำคัญกว่า

ความจริง โรคเบาหวานไม่ใช่เพียงธุรกิจน้ำตาลน้ำหวานทั้งหลาย แต่เป็นธุรกิจการแพทย์ ยาและการรักษาที่ “เลี้ยงไข้” รักษาไม่หาย กินยาไปตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่วันนี้มีการพิสูจน์ทั้งจากงานวิจัยและการรักษาของแพทย์จำนวนมากว่า เบาหวานป้องกันและรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา

นายแพทย์เจสัน เฝิง ชาวแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต เบาหวาน มะเร็ง ที่สัมพันธ์กันหมด อธิบายว่า เบาหวานเป็นโรคเกี่ยวกับ “อาหาร” คนกินน้ำตาลมากเกินไป น้ำตาลในเครื่องดื่ม ในอาหารพวกแป้ง เมื่อเข้าไปในร่างกายก็มีอินซูลินมารับไปส่งให้เซลล์ เมื่อร่างกายรับน้ำตาลมากเกินไป เซลล์ก็ปฏิเสธเพราะ “เต็มแล้ว” เกิดอาการ “ดื้ออินซูลิน” น้ำตาลก็จะไปอยู่ในกระแสเลือด และเป็นไขมันไปฝากไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

คุณหมอเฝิงบอกว่า เขารักษาคนไข้จนหายจากเบาหวานโดยให้ลดน้ำตาลในอาหารเครื่องดื่ม และออกกำลังกายที่ช่วยให้เผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ถ้าให้ดีและมีประสิทธิภาพที่สุด คือการอดอาหาร ที่ลดทั้งน้ำตาลและอินซูลิน น้ำตาลก็ลดจนเป็นปกติ  คนอ้วนน้ำหนักก็ลดด้วย

ขณะที่การแพทย์ทั่วไปรักษาเบาหวานโดยให้ยาเข้าไปลดน้ำตาลแบบ “บังคับ” แต่เป็นการเพิ่มอินซูลิน ที่มีส่วนทำให้คนเป็นเบาหวานน้ำหนักขึ้น คุณหมอเฝิงเปรียบเทียบกับการให้อินซูลินแก่คนไข้เบาหวานกับการให้เหล้าคนติดเหล้าเพื่อให้หาย “ลงแดง” ซึ่งได้ผลเพียงชั่วคราว  ยาเบาหวานก็เช่นกัน ลดน้ำตาลได้เพียงชั่วคราว เลิกเมื่อไร น้ำตาลก็ขึ้นเหมือนเดิม จึงต้องกินยาไปตลอดชีวิต

คุณหมอเฝิงแนะนำว่า วิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาเบาหวานให้หาย คือการอดแบบ IF ที่นิยมกันทั่วไปวันนี้ ซึ่งช่วยให้จัดการกับอินซูลินได้ดีที่สุด เพราะการลดน้ำตาล ลดอาหารแป้ง แต่ยังกินโปรตีนก็ไม่ลดอินซูลิน ที่ถูกผลิตออกมาทุกครั้งที่เรากินอาหาร ถ้ายัง “โหด” ไม่พอก็กินแบบ “คีโต” ไปเลย ที่กิน “ไขมันดีแทนน้ำตาล”

เคล็ดลับของการจัดการเบาหวาน จึงเป็นการ “ลดจำนวนครั้ง” การกินลง ลดอาหารเครื่องดื่มหวาน ลดแป้ง ก็คือลดอินซุลินนั่นเอง โดยกินวันละ 2 มื้อ หรือมื้อเดียว หรือแบบอื่น ไม่เสพติดการกินแบบกินวันละ 5-6 มื้อ และกินจุบกินจิบอีก คุณหมอเฝิงยืนยันว่า การอดไม่ได้ทำให้คนอ่อนแอลงหรือเสียพลังงาน ตรงกันข้าม ทำให้แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อคนอด ร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โมนที่ทำให้คนแข็งแรง

เบาหวานเป็นโรคที่น่ากลัว เป็นที่มาสาเหตุของโรคร้ายแรงอื่นๆ แต่คนทั่วไป “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” ไม่ได้วิตกเพราะยังไม่เห็นผลตามมาด้วยตนเองว่า กินยาลดน้ำตาลโดยไม่ดูแลสุขภาพ ไม่กี่ปีก็ได้โรคไต เส้นเลือดตีบตันแตก ทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ทำให้ตาบอด ตัดเท้า ตัดขา เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง

คนไทยเป็นเบาหวานประมาณ 5 ล้านคน เป็นตัวเลข “ทางการ” ส่วนที่ไม่ทางการอาจอีกหลายล้าน เพราะไม่รู้และไม่นับ และที่เป็น “เตรียมเบาหวาน” (prediabetic น้ำตาล 110-125) อาจจะมากกว่าที่เป็นเบาหวานอีก ซึ่งแพทย์เตือนว่า ถ้าไม่ดูแลตัวเอง ไม่กี่ปีคนกลุ่มนี้จะเป็นเบาหวานแน่นอน

สังคมไทยทำได้ดีเรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่ที่รณรงค์จริงจัง แต่ยังไม่เห็นขยับเรื่อง “น้ำตาล” ซึ่งดูจะเป็น “ยักษ์” ใหญ่กว่าเหล้าบุหรี่ มีอิทธิพลมากกว่า มีผลประโยชน์มหาศาล

“น้ำตาล” เป็นเหมือน “ยาพิษ” เหมือน “ยาเสพติด” ที่นับวันโลกจะเริ่มตระหนักถึงอันตรายและลดการบริโภคลง แต่ถ้าไม่มีนโยบายของรัฐช่วย การปลุกสำนึกอย่างเดียวก็ไม่ง่าย เพราะการครอบงำทำให้คนเสพติดน้ำตาลผ่านการโฆษณาและสื่อต่างๆ นั้นมีพลังสูงจูงใจคนมาก เด็กเกิดมาก็เห็นโฆษณาและติดหวานแล้ว

อย่างไรก็ดี ไม่กี่ปีก่อน มีอะไรให้แปลกใจเมื่อมีกฎหมายเกี่ยวกับ “ไขมันทรานซ์” ออกมา ซึ่งความจริง คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจหรือเข้าใจเรื่องไขมันกลายรูปนี้มากนัก และธุรกิจเองก็ปรับตัวได้ ยังไงก็มีช่องให้หายใจได้ด้วยการกำหนดไม่ให้มีสูงว่า 0.5 ซึ่งให้แปลว่า 0 ทำให้คนทั่วไปคิดว่าไม่มีไขมันตัวร้ายนี้

วันนี้ ธุรกิจอาหารเครื่องดื่มยังโฆษณาอันตรายเรื่อง “ไขมัน” (fat) เห็น 0% ตัวใหญ่ๆ ในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และอื่นๆ แต่ปริมาณน้ำตาลเขียนเล็กนิดเดียว ทั้งๆ ที่วันนี้ วงการสุขภาพทั่วโลกเห็นความสำคัญของ “ไขมัน” จากธรรมชาติ ไขมันสัตว์ และพืชบางชนิด ว่าเป็นอาหารแทนน้ำตาลไปเลี้ยงสมองเลี้ยงหัวใจได้

คาถาเพื่อป้องกันและรักษาเบาหวานวันนี้ คือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้ารู้ว่า สาเหตุของเบาหวานคือมีน้ำตาลมากเกินไป ก็ลดน้ำตาลลงด้วยวิธีธรรมชาติ เลือกอาหารเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย อาจจะทำยากกว่าการกินยาหาหมอเพื่อลดน้ำตาล แต่ได้ผลยั่งยืนกว่า คุ้มกว่า จะปลอดภัยไม่เป็นโรคร้ายอื่นๆ

น่าจะได้เวลาที่สาธารณสุขไทยและบรรดาภาคีลงมือทำ “สงครามน้ำตาล” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้คนไทยกว่าสองในสามน้ำหนักเกิน หนึ่งในสามเป็นโรคอ้วน กว่าร้อยละ 10 เป็นเบาหวานและกำลังจะเป็น และนำไปสู่การเป็นโรคร้ายอื่นๆ