เอกสารคำชี้แจง กรณีมีผู้ยื่นร้องให้วินิจฉัยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา มีความยาวกว่า 30 หน้ากระดาษโดยใจความหลักได้อธิบายถึงการนับวาระการดำรงตำแหน่งว่า ไม่ได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557

เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตา ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไรตามดุลพินิจของศาล

ทั้งนี้ ในมุมมองของภาคเอกชน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรม ได้แสดงความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามารักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองว่ากรณีนี้เป็นการพักเพียงชั่วคราวและไม่ส่งผลกระทบให้ธุรกิจหรือเศรษฐกิจสะดุด หรือเกิดความกังวล

นายธนิต กล่าวว่า แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าก็คือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหลังจากนี้ว่าจะออกมาในทิศทางใด จะตรงใจกับคนส่วนใหญ่หรือไม่ เพราะวิกฤติการเมืองเป็นสิ่งที่แทรกเข้ามา ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบกับช่วงปลายปีรวมถึงปีหน้าด้วย

“เขากังวลในช็อตต่อไปว่าคำตัดสินของศาลรธน. ไม่ว่ามันจะเป็นซ้ายหรือขวา มันจะมีผลอย่างไรมากกว่า ถ้าคำตัดสินมันเกิดไปไม่ตรงใจของคนส่วนใหญ่ มันจะเกิดอะไรไหม เพราะตอนนี้ฝ่ายที่เขาต้องการจะก่อหวอด หรือว่าต้องการออกมาทางการเมือง มันก็เริ่มออกมามากขึ้น อันนี้เราห่วงมากกว่า แล้วก็เราก็จำภาพในอดีตได้ ตอนที่มีวิกฤติการเมืองภาคประชาชน เวลามันลงถนนกันมากๆ มันก็จะกระทบเรื่อง สุญญากาศทางการเมืองอย่างที่ในอดีตเคยมี อันนี้เรากลัวมากกว่า แต่เพียงประเด็นการเมืองมันเป็นวิกฤตที่มันแทรกเข้ามา ภายใต้วิกฤติอีกหลายวิกฤติที่เรากำลังเผชิญอยู่ ตรงนี้มันจะเป็นปัจจัยที่มันจะมีผลปลายปีรวมถึงปีหน้าด้วย ” ( สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.วันที่ 4 กันยายน)

นั่นเป็นเสียงของภาคเอกชน ที่สะท้อนความวิตกกังวล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาบนหลักของกฎหมาย มากกว่าภายใต้แรงกดดันทางการเมืองไม่ว่าจากฝ่ายใด

และไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาในทิศทางใด ทุกฝ่ายจะต้องเคารพการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และเดินหน้าต่อ เพื่อไม่ให้ประเทศไทย ต้องติดกับดักวิกฤติการเมือง กลายเป็น วิกฤติซ้อนวิกฤติอย่างที่ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนวิตกังวล