รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

สถานการณ์การเมืองไทยกลับมาร้อนระอุและอึมครึมอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร กรณีปมการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ของนายกฯประยุทธ์ โดยมีมติ 5 ต่อ 4 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2565 เป็นต้นไป และจะนำเข้าสู่โหมดกระบวนการพิจารณาซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน

ขณะที่นายกฯ ประยุทธ์ เคยแจ้งกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าไม่ได้รู้สึกกังวลใจกรณีถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญตีความการดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี และขอให้ทุกคนทำหน้าที่ไปตามปกติ “ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไร” และความคืบหน้าล่าสุดทีมกฎหมายนายกฯประยุทธ์ ได้ส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญได้นัดเรียกประชุม “วาระพิเศษ” เพื่อพิจารณาคำร้องดังกล่าวในวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. นี้

ประเด็นนี้แม้แต่สื่อต่างชาติเองก็ยังจับตาดู โดยสะท้อนมุมมองจากนักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ว่า การเมืองไทย ณ วันนี้ คือความเสี่ยงทางการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน โดยจะย้ายเข้าไปลงทุนในเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านอื่นแทน แต่สถานการณ์การเมืองก็ยังไม่ส่อเค้ารุนแรงขนาดส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ผลกระทบสำคัญที่เกี่ยวโยงกับการเมืองโดยตรงคือ หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พลเอกประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ต่อไป คำตัดสินดังกล่าวอาจกลายเป็น ‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ ที่ทำให้เกิดแรงประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มากขึ้น เพราะเพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติประกาศให้นายกฯ หยุดทำหน้าที่ก็เกิดเหตุการณ์ประท้วงหลายจุด เช่น ที่ลานคนเมือง หน้าศาลากว่าการ กทม. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา และบริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล

ด้านนักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ‘ศ.ดร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์’ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว เอเอฟพี กรณีการครบวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปีของนายกฯ ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มสูงที่จะใช้ชั้นเชิงทางเทคนิค เพื่อให้ นายกฯ ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งต่อไปได้” อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่านายกฯ อยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปีจริง ก็จะทำให้นายกฯ ต้องพ้นจากตำแหน่งและกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่สร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อการเมืองไทย นำไปสู่ความ ไม่แน่นอน ต้องแต่งตั้งรักษาการนายกฯ รัฐบาลรักษาการ และการเลือกตั้งจะเกิดเร็วขึ้น

จากสถานการณ์การเมืองที่ดูวุ่น ๆ ในขณะนี้ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็เคลื่อนไหวกันอย่างพรึบพรับเตรียมรับมือกับ การเลือกตั้งทั่วไป ปี 2566 ที่อาจมาเร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ "ย้ายพรรค ยุบรวม ควบรวม” ของบรรดาพรรคการเมือง ข่าวการดึง ส.ส. เข้าสังกัดพรรคโน้นพรรคนี้กันเป็นว่าเล่น และกระแสข่าวลือสะพัด “ปมขัดแย้ง 3ป” เป็นต้น

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศทางออนไลน์ “สัญญาณเลือกตั้งใหญ่ ปี 2566” จำนวน 1,128 คน ระหว่างวันที่ 3-8 กันยายน 2565 ใน 8 ประเด็น พบว่า

1) จากกระแสข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ ประชาชนสนใจติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น 50.45%

2) ประชาชนคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ 53.92% ที่อาจจะมีการ “ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่”

3) ประชาชนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้สมัครในพรรคฝ่ายค้านมีความได้เปรียบมากกว่าในพรรคฝ่ายรัฐบาล 52.75%

4) ประชาชนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีการซื้อสิทธิขายเสียงมากขึ้น 56.56%

5) สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือก ส.ส. ครั้งต่อไป ได้แก่ พรรคที่สังกัด (อันดับ 1 70.10%)
ตัวผู้สมัคร (อันดับ 2 64.51%) เป็นคนดี ประวัติดี ซื่อสัตย์ (อันดับ 3 59.98%) เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ (อันดับ 4 52.80%) และเป็นคนขยัน ตั้งใจทำงาน (อันดับ 5 50.67%)  

6) ประชาชนคิดว่าการทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ของพรรคการเมืองและ ส.ส. มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง 90.83%  

7) ประชาชนคิดว่าสถานการณ์การเมืองไทยหลังจากนี้จะร้อนแรงมากขึ้น 68.29% 

8) ประชาชนอยากเห็นการเมืองไทยเชิงสร้างสรรค์คือ ต้องทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน (อันดับ 1 24.35%) แข่งขันกันด้วยความรู้ ความสามารถ และผลงาน ไม่ใส่ร้ายป้ายสี (อันดับ 2 19.56%) ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ร่วมมือกันทำงาน (อันดับ 3 18.27%) เป็นนักการเมืองที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดี ซื่อสัตย์ สุจริต (อันดับ 4 16.61%) และเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ (อันดับ 5 13.28%)

นี่คือ เสียงสะท้อนสำคัญของประชาชนต่อสัญญาณเลือกตั้งใหญ่ ปี 2566 ส.ส. นักการเมือง นักวิชาการ และ คอการเมือง ห้ามพลาดข้อมูลสำคัญนี้นะครับ...