วิชาเศรษฐศาสตร์นั้นค่อนข้างยาก เพราะมีเนื้อหาที่ต้องใช้คณิตศาสตร์มากพอสมควร เมื่อมันเป็นเรื่องยาก มีทฤษฎีสลับซับซ้อนที่พยายามจะทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีกฎเกณฑ์แม่นยำ จึงโต้แย้งนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแล้วได้ยาก นับวันเรื่องเศรษฐศาสตร์ก็ยิ่งเป็นเรื่องของปัญญาชนที่ชาวบ้านถูกสกัดออกนอกวงการ และแม้แต่ผู้ปกครองที่มิได้ชื่อว่านักเศรษฐศาสตร์ ก็จำต้องเชื่อฟังนักเศรษฐศาสตร์ ชาวบ้านจึงต้องฟังคำอธิบายที่เต็มไปด้วยศัพท์วิชาการเศรษฐศาสตร์ภาษาอังกฤษ ซึ่งพวกเขาไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่จำเป็นจะต้องคอยฟังข่าวด้านเศรษฐกิจ แม้จะมีสามัญสำนึกว่าคำอธิบายของนักเศรษฐศาสตร์นั้นยากที่ยอมรับ เป็นต้นว่า ตัวเลขการค้าขายของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มักจะปรากฏเป็นตัวเลขขาดดุลการค้าเป็นส่วนใหญ่ เมื่อรวมตัวเลขของทั้งโลกมาดู ก็มักจะเห็นว่า ตัวเลขโดยรวมทั้งโลกนั้นเป็นตัวเลขขาดทุนเสียดุลการค้า แล้วถ้าเช่นนั้น ใครได้กำไรไป หรือว่าพลโลกเสียดุลการค้ากับชาวต่างดาว ชาวต่างดาวเป็นผู้ได้กำไรไป หรืออย่างเช่นเรื่องดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารติดลบ มันขัดกับความรู้แบบชาวบ้าน เมื่อธนาคารสามารถรวบรวมเงินจากผู้ฝากได้เยอะ มีเงินก้อนไปทำธุรกิจ ก็ควรจะให้ดอกเบี้ยกับผู้ที่ฝากเงิน ทุนนิยมสมัยก่อนก็ให้ดอกเบี้ยกับผู้ฝาก แต่มาบัดนี้กลับกลายเป็นไม่มีดอกเบี้ย กระทั่งเป็นดอกเบี้ยติดลบ หมายถึงผู้ฝากเงินกับธนาคารจะต้องจ่ายเงินให้กับธนาคารที่นำไปฝากไว้ ปัจจุบันทุนนิยมภาคการเงินพัฒนากลายเป็นภาคส่วนที่ทำกำไรได้สูงสุด แต่คำอธิบายก็ว่า เงินฝากไว้เฉย ๆ ไม่ได้ทำประโยชน์ให้เกิดกำไร จำเป็นจะต้องเอาเงินไป “ค้าหุ้น” หรือค้าอะไร ๆ ประหลาด ๆ ที่ทุนภาคการเงินคิดขึ้นมา เงินกองทุนที่เก็บสะสมไว้อย่างง่าย ๆ เช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำนาญ กองทุนประกันสังคม ฯลฯ เก็บไว้เฉย ๆ ไม่มีประโยชน์ จะต้องเอาไปค้าหุ้น จึงจะมีรายได้เพิ่ม ไม่อย่างนั้นกองทุนเจ๊งแน่ ชาวบ้านเถียงนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้ แต่แล้วถ้านำเงินกองทุนสวัสดิการเหล่านั้นไปค้าหุ้นแล้วเกิดขาดทุนขึ้นมา ใครเล่าเป็นผู้เสียประโยชน์ นักเศรษฐศาสตร์ก็จะมาอธิบายภายหลังว่า การลงทุนในธุรกิจภาคการเงินย่อมมีความเสี่ยงเป็นธรรมดา ก็ในเมื่อมีความเสี่ยงแล้ว จะเอาเงินชาวบ้านคนอื่นไปเสียงด้วยทำไม ? รัฐบาลนี้ก็กำลังจะเดินไปตามท่งสายเดิมอีกแล้ว เป็นปัญหาเดิม ๆ ที่นักปกครองถกเถียงโต้แย้งนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีใครโต้แย้งนักการเงินได้สำเร็จเลย ทั้ง ๆ ที่ทุนนิยมภาคการเงินขณะนี้เป็น”มายาคติ” สูงสุด และก่อวิกฤติเศรษฐกิจซ้ำแล้วซ้ำเล่า อธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจยอมรับได้ไหมว่า จะเอากองทุนสะสมต่าง ๆ ไปค้าหุ้นเพื่ออะไร แล้วถ้ามันขาดทุนอีก อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มีหน้าไหนรับผิดชอบ รับผิดชอบความเสียหายบ้าง นักปกครองกล้าหาญจะยอมสละสุ่มเสี่ยงอนาคตมาให้นักเศรษฐศาสตร์มาต้มได้ง่าย ๆ หรือ ?