สถาพร ศรีสัจจัง

ตั้งแต่เริ่มต้นยุคสงครามเย็นที่เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแล้ว ที่เอตทัคคะทางสังคม และการเมืองโลกในปัจจุบันส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่า…นั่นละ คือ จุดก่อกำเนิด “อเมริกัน…อันตราย”!

ถ้าถามว่าแล้วทำไม? “อเมริกัน” จึงต้อง “อันตราย” ด้วยละ?

ความทรุดโทรมอ่อนแอของประเทศที่เคยเป็น “จักรวรรดินิยม” รุ่นเก่าที่เป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะบรรดาจักรวรรดิแห่งยุโรป ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถ “เทกโอเวอร์” เข้ายึดครองฐานะ “ผู้นำโลก” อย่างโดดเด่นยิ่งในทันที!

แม้ในห้วงเวลาดังกล่าวจะมี “สหภาพโซเวียต” เป็นก้างขวางคอในฐานะ “ผู้ชนะสงคราม” เช่นกันอยู่บ้าง แต่สหภาพโซเวียต (คือรัสเซียปัจจุบัน) ก็อ่อนแอกว่า เพราะในสงครามดังกล่าว ต้องสูญเสียทั้ง บ้านเมืองที่ถูกถล่ม ทั้งชีวิตผู้คน และทหาร ทั้งสภาพทางเศรษฐกิจ ไปเป็นจำนวนไม่น้อย

ขณะที่แผ่นดินหรือประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ถูกกระทบแม้สักกระผีก เพราะสงครามขยายไปไม่ถึงทวีปนั่นแต่อย่างใด ที่ถูกกระทบบ้างก็มีเพียงงบประมาณบางส่วน ชีวิตทหารบางกลุ่ม (โดยเฉพาะฐานทัพเรือ “เพิร์ล  ฮาเบอร์” ที่ถูกหน่วยกล้าตาย “กามิกาเซ่” ของฝ่าย “อักษะ” คือ ญี่ปุ่นโจมตี (เพราะสหรัฐประมาทและประเมินคุณภาพกองกำลังลูกบูชิโดแห่งญี่ปุ่นต่ำไป?)

ที่สำคัญก็คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เองที่สหรัฐอเมริกาสามารถระดมสร้างยุทธปัจจัยประเภท “นวัตกรรมสงคราม” สมัยใหม่ ที่โลกไม่เคยมีมาก่อนขึ้นได้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ปืนยิงเร็วแบบใหม่ๆ เครื่องจักรกลสงคราม เช่นเรือดำน้ำ เรือยุทธการ  เครื่องบินรบแบบต่างๆ…จนกระทั่งถึง “ระเบิดปรมาณู” อันมหากาฬ(ก็ระเบิดนิวเคลียร์ในปัจจุบันนั่นแหละ!)

ความยิ่งใหญ่ในการก่ออาชญากรรม (ฆ่าคน) เพียงเพื่อต้องการชัยชนะ และ เพื่อปกป้องผลประโชน์ตนและพวกพ้องของรัฐบาลอเมริกา ก็เริ่มต้นให้เห็นได้ชัดแจ้งด้วยระเบิดปรมาณู ที่เมือง ฮิโรชิม และ นางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่นในคราวนี้เอง!

ใครที่เคยอ่านประวัติศาสตร์โลก ย่อมรับรู้และต้องรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องราวเหล่านี้กันทุกราย!

แต่ดูเหมือนบรรดาผู้นำของญี่ปุ่นในชั้นหลัง ตั้งแต่รุ่นนายชินโซะ อาเบะ ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จนถึงนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน ผู้สืบทอดเจตนารมณ์นายอาเบะจะมองไม่เห็น ไม่รู้สึก และ จำไม่ได้!

เรื่องนี้ช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับบรรดา “ท่านผู้นำ” ในชั้นหลังๆของประเทสยามไทยแลนด์เสียเหลือเกิน คือเหมือนไม่รู้ว่า ตั้งแต่ “ท่านจอมพลผ้าขะม้าแดง” คนนั้น เปิดประตูประเทศแบบ “อ้าซ่า” ให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาทำพิมพ์เขียว “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” (ไม่มีคำว่า “สังคม”) โดยบอกว่าเพื่อการนำพระเทศไทยไปสู่ “ความทันสมัย” (วัตถุนิยมทุนบริโภคนิยมแบบอเมริกา!) 

พร้อมๆกับการเข้ามาจัดตั้งฐานทัพเพื่อส่งเครื่องมือสงครามไปเข่นฆ่าผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ทิ้งระเบิดบอมบ์ทุกเทือกป่าสันเขาของประเทศเหล่านั้น เพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของอำนาจในการเป็น “ผู้นำโลก”

ทหารอเมริกันที่เรียกกันว่า “จีไอ” จำนวนไม่น้อยกว่า 4 หมื่น 5 พันคน ในช่วงปีพ.ศ.2511-12 ที่เข้ามาซ่องสุมกำลัง และ “พักผ่อน” แบบมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” อยู่ตามฐานทัพต่างๆในเมืองไทย เช่น อุดรธานี/ขอนแก่น/ตาคลี/โคราช/นครพนม และ อู่ตะเภา ได้นำ “อำนาจทางวัฒนธรรม” (Sofe power) ของ “ผู้เจริญแล้ว” แบบอเมริกัน มาบุกสาดรดใส่สังคมไทยอย่างไรบ้าง?

ช่างสอดรับกับ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ที่พวกเขามาร่างให้ไว้ก่อนหน้านั้น ที่มุ่งนำพาประเทศไทยไปสู่ความทันสมัยแบบสังคมตะวันตก(อเมริกา)ที่ “ท่านผู้นำ” ของประเทศไทยในยามนั้นปรารถนาเสียยิ่งนัก!

เมียเช่า บาร์ไนท์คลับ ยาเสพติด ลัทธิบริโภคนิยมเสรีแบบไม่มีหูรูด ตัวกูของกู(ปัจเจก) ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ฯลฯ ที่ส่งผลต่อการ “รื้อสร้าง” สังคมไทยให้เข้าสู่สังคม “ทาสวัตถุ” ปลุกกิเลสผู้คนในสังคมให้ “นิยมเสรี” จนโลดเถลิงเริงร้อนแบบไม่รู้ว่าท้ายสุดจะไปมีจุดจบอยูที่ใด โดยมี “เงิน” หรือ “ประโยชน์กู” เป็นระบบคุณค่าสูงสุด ตาม “คติ” ของลัทธิปรัชญาที่เป็น “ราก” ของสังคมแบบตะวันตก ซึ่งบรรดาผู้นำอเมริกันตั้งแต่รุ่นบุกเบิกสร้างประเทศ(ยุคปล้นแผ่นดินอินเดียนแดง)สมาทานเทิดทูนยิ่งนัก

ลัทธิปรัชญาที่โลกปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “Secularism” ที่ดูเหมือนสำนักราชบัณฑิตจะบัญญัติเป็นคำไทย(แบบแขกๆ)ว่า “โลกิยนิยม” หรือ “คฤหัสถ์นิยม” อะไรนี่แหละ!

ปรัชญานี้เป็นผลผลิตของนักคิด กรีกโรมัน ซึ่งเป็นรากหรือบริบทของสังคมตะวันตก เช่น จักรพรรดิมากุส เอาราลิอุส และ อีปิคิวรัส เป็นต้น แล้วก็ได้รับการพัฒนาสืบสานต่อเนื่องมา โดยนักคิดชาวตะวันตกในชั้นหลัง เช่น ดิเดโร/วอลแตร์/จอห์น ล็อก/โทมัส เจฟเฟอร์สัน/โทมัส เพน จนถึงรุ่น เบอร์ซัล รัสเซล แห่งอังกฤษ เป็นต้น

ใครอยากรู้อยากลงรายละเอียดเกี่ยวกับปรัชญาที่เป็นรากของตะวันตกสำนักนี้ ก็ไปหาอ่านเอาที่ไหนก็ได้โดยทั่วไป  ทั้งตัวทฤษฎี และพัฒนาการ เพราะดูเหมือนตอนนี้จะมีนักคิดนักวิชาการหัวนอกที่ “ก้าวหน้า” บางกลุ่มบางพวกในปัจจุบัน กำลังแสดงความคลั่งไคล้ลัทธิที่เชื่อว่ามีแต่วัตถุวิสัยเชิงประจักษ์เท่านั้นที่เป็น “science method” สำนักนี้ กันจนมี “บทเทศน์” หรือบทโฆษณาชวนเชื่อจนจะเกลื่อนเต็มสังคมไทยไปทั่วแล้วละมั้ง!

ลัทธิที่สร้างความคิดคนให้เชื่อว่า องค์รวมของความเป็นมนุษย์และสังคมมนุษย์นั้นมีแต่เพียง “วัตถุวิสัย” หรือ “Hard power” เท่านั้น ไม่มี “จิตวิสัย” หรือ “Solf power” ร่วมอยู่ด้วยเลย คือมีแต่เรื่องความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจ การเมืองเท่านั้น ที่เป็นหลัก ไม่มีความสัมพันธ์เชิง “สังคมวัฒนธรรม” (ศิลปะ/คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งก็คือเรื่องของ ความงาม และ ความดี) อยู่ด้วยเลย!

นี่แหละคือ อำนาจแห่ง “ซอฟต์ พาวเวอร์” แบบตะวันตกที่ส่งผ่านมาทาง “อเมริกัน…อันตราย” จนแตกดอกออกผลสลอนอยู่ทั่วสังคมไทยในวันนี้

วันนี้จึงมีบริบทที่เป็นมรดกองค์คุณทางสังคมแบบเอเชียที่ปรากฏอยู่ในบริบทสังคมไทย (ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกับตะวันตก) ที่พัฒนาต่อยอดกันมาแต่โบราณกาลอันยาวนาน(อย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงที่นักประวัติศาสตร์ โบราณคดีหาหลักฐานพิสูจน์ได้) ส่วนหนึ่งก็ถล่มทลายลงแบบทันตาเห็นด้วยอิทธิฤทธิ์ของ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่วางอยู่บนฐานปรัชญา “โลกิยนิยม” หรือ “คฤหัสถ์นิยม” (Secularism)ที่ “อเมริกัน…อันตราย” วางไว้ให้แต่เมื่อ 60 ปีก่อน…ฉะนี้นี่แล!!!ฯ