สถาพร ศรีสัจจัง

บทสรุปของบทความกึ่งสกู๊ปสัมภาษณ์ ของ “บีบีซี.ไทย” ในชื่อเรื่อง “43 ปีสงครามเวียดนาม : ผมรับจ้างฝรั่งไปรังแกเขา”(บทสัมภาษณ์อดีตนักรบรับจ้างแห่งกองพลเสือดำของไทย ที่สมัครเป็น “กองกำลังทหารไทย” ไปร่วมรบกับกองทหารสหรัฐอเมริกาใน “สงครามเวียดนาม” ชื่อ พันตรี พุทธินาถ  พหลพลพยุหเสนา บุตรชายคนที่ 4  ของพระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี และ ผู้นำคนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย ในนาม “คณะราษฎร” เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2475) ซึ่งนำเสนอทาง “ออนไลน์” เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ 2018 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า :

“…ผลพวงของสงครามเวียดนามต่อไทยนั้น ก็มีตั้งแต่ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักศึกษาที่รัฐบาลไทยให้กองทัพสหรัฐฯ เข้าใช้ฐานทัพ จนมีส่วนทำให้นักศึกษาลุกฮือขึ้นประท้วงกองทัพ และผู้นำรัฐบาลในปี 2516 และ 2519 รวมทั้งปัญหาสังคม เช่น เกิดอุตสาหกรรมบริการทางเพศขนาดใหญ่ที่มีไว้รองรับทหารอเมริกันช่วงสงคราม, เด็กลูกครึ่งอเมริกัน ไทยที่ประสบปัญหาการใช้ชีวิต, และที่สำคัญที่สุด ต้องเผชิญหน้ากับความชิงชังของประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน …”

นโยบาย “การครองความเป็นเจ้า” ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผู้ที่สนใจเรื่อง “อเมริกันศึกษา” คนไหนก็ย่อมรู้ว่า  นั่นเอง คือต้นตอที่ทำให้เกิด “สงครามเย็น” ระหว่างค่าย “โลกเสรี” ที่สหรัฐฯสำแดงตนเป็นผู้นำ กับ “โลกสังคมนิยม” ที่ว่ากันว่ามีสหภาพโซเวียต (ก่อนล่มสลายโดยเงื่อนไขภายในและฝีมือสหรัฐ?) เป็นผู้นำนั้น ได้สร้างอาชญากรรมและคร่าชีวิตผู้คนขึ้นทั่วโลกทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมไปอย่างมากมาย

มากกว่าทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ที่ 2 รวมกันเสียอีกกระมัง?!

โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ “โลกที่ 3” อย่างเอเชีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และอาหรับ ซึ่งเรื่องนี้สหรัฐอเมริกาในฐานะ “ลูกพี่” ก็นำไทยเข้าสู่สงครามแห่งความขัดแย้งด้วย ยังผลให้คนไทยต้องตาย ต้องยาดเจ็บ ทั้งโดยทางตรงแบะทางอ้อมไปเป็นจำนวนไม่น้อย

แต่ที่หนักก็คือ อิทธิพลของ “Solf power” แบบ “อเมริกัน” ที่ได้รับการเพาะบ่มขึ้นในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง และลึกซึ้งในยามนั้นและสืบมา จนก่อผลต่อเชื้อแก่คนไทยที่เรียกตนเองว่าเป็น “เจน X” “เจน Y” และ “เจน Z” มาจนปัจจุบัน!

แล้วในท้ายที่สุด นโยบาย “โลกขั้วเดียว” (Unipolarism) ที่สหรัฐฯคาดหวังก็บรรลุผล เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง นั่นคือ มีแต่หรัฐอเมริกาเท่านั้นที่กลายเป็นอภิมหาอำนาจในการจัดระเบียบโลกแต่เพียงผู้เดียว!

กระทั่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนผงาดขึ้นมาอย่างสง่างาม เติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง เทคโนโลยี และ Solf power โดยเฉพาะช่วงยุคท้ายสุดจนถึงปัจจุบัน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนที่ชื่อ สี จิ้น ผิง !

ขณะเดียวกัน หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประเทศรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี ที่ชื่อ วลาดิเมียร์ วลาดิมีโรวิช “ปูติน” (Putin) ก็พุ่งเด่นขึ้นมาในทำนองจะเป็น “วีรบุรุษกู้ชาติ” กล่าวคือเมื่อประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ลาออก ปูตินก็ได้รับเลือกเป็น “รักษาการประธานาธิบดี”

และตั้งแต่นั้นมา ถ้าจะกล่าวโดยสรุปก็คือ เขาคือผู้ครองอำนาจสูงสุดของประเทศรัสเซียมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน(ขณะนี้กำลังดำรงตำแหน่งปธน.สมัยที่ 4 นับรวมเวลาอย่างต่อเนื่อง ได้ 22 ปีเข้าแล้ว!)

แต่รัฐธรรมนูญรัสเซียที่ได้รับการแก้ไขไว้เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน ดูเหมือนจะอนุญาตให้เขาสามารถเป็นผู้นำได้จนถึงปี ค.ศ.2036 โน่นแนะ ใครฟังแล้วเสียวสะดือบ้างละ?!

นิตยสาร “ฟอร์บส์” ที่ทรงอิทธิพลของโลกยุคปัจจุบัน จัดอันดับให้ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย

เป็น “ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก” ในปี ค.ศ.2012-15 และนิยามบุคคลผู้นี้ไว้ว่า “…เป็นบุรุษเพียงไม่กี่คนในโลกที่ทรงอิทธิพลพอใจทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ!”

ไหนๆก็นอกเรื่องมาแล้วไม่น้อย(แต่ไม่นอกประเด็น)ก็ขอพรรนาความ(เท่าที่พอรู้)เกี่ยวกับปธน. ปูตินผู้นี้ต่ออีกสักเล็กน้อยก็แล้วกัน

ปธน.ปูตินนั้นมีพื้นฐานมาจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับแห่งสหภาพโซเวียตคือ “KGB” (ซึ่งเป็นคู่ต่อกรสำคัญที่สุดของ “CIA” หรือหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกานั่นแหละ) แล้วหันเข้าสู่วงการการเมืองหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้รับเลือกตั้งเป็นปธน.ครั้งแรกในปี ค.ศ.2000 แล้วได้รับการเลือกตั้งต่อมาเรื่อยๆจนถึงสมัยที่ 4 ในยุคปัจจุบัน(คั่นรายการไปเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อ “เลี่ยงบาลี” ตามรัฐธรรมนูญรัสเซียอยู่สมัยหนึ่ง แต่ว่ากันว่า ปธน.รัสเซียยุคนั้นก็คือลูกน้องก้นกุฏิของเขานั่นเอง)

บรรดาเกจิผู้รู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์-การเมืองสรุปว่า ในช่วง 9 ปีแรกของการครองอำนาจในฐานะผู้นำ ปูตินประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศออกจากความตกต่ำ(หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต)เป็นอย่างสูง เขาทำให้ประเทศมั่งคั่งและมั่นคงขึ้น จีดีพี ประเทศเติบโตขึ้นถึง 72 % ความยากจนของประชาชาติลดลงถึง 50%  และในช่วงปี 2014 ที่ประเทศยูเครน(ที่เพิ่งแยกออกมาจากรัสเซีย) เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ ปูตินก็สั่งบุกยึดแหลมไครเมียจนกลายเป็นของรัสเซียอีกครั้ง อย่างที่เห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน

และแล้ว ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 รัสเซียภายใต้การนำของปูติน ก็เปิด “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” โดยการกรีธาทัพบุกเข้าประเทศยูเครน ด้วยข้ออ้างว่า “เพื่อทำลายกลุ่ม “นีโอนาซี” ที่ปกครองยูเครน และกดขี่ข่มเหงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายรัสเซีย” ซึ่งเรื่องนี้เองที่กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของโลกวันนี้ 

เพราะโดยทันทีทันใด สหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครตที่ชื่อ “โจ ไบเดน” ผู้นำของบรรดาชาติยุโรปในนามกลุ่มสนธิสัญญาฯ “นาโต” (ที่เกิดมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น) ก็ได้โอกาสแสดงตัวแสดงบารมีในฐานะ “อภิมหาอำนาจฝ่ายประชาธิปไตยผู้ยืนหยัดปกป้องความถูกต้องเป็นธรรมของโลก” โดยสำแดงตนนำชาติพันธุ์แห่งยุโรปทั้งหลาย และบรรดา “ประเทศพันธมิตร” อื่นๆในโลก สร้างขบวนการต่อต้านกรณีนี้อย่างโจ๋งครึ่มเอาจริงเอาจังแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว โดยหนุนช่วยยูเครนในทุกรูปแบบ !

จนคนทั้งโลกล้วนรู้ว่า “สงคราม” ที่กำลังก่อผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อโลกในทุกๆด้านครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้ว ก็คือสงครามระหว่างรัสเซีย กับสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงอีกบางประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำและชี้นำของสหรัฐอเมริกา!

เอ้ะแล้วเรื่องนี้ มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาคำตอบในหัวข้อ “อเมริกัน…อันตราย” ตามที่วงดนตรี “คาราวาน”ของศิลปินแห่งชาติ นาม สุรชัย จันทิมาธร เคยตั้งคำถามขึ้นดังๆมาตั้งแต่เมื่อช่วงทศวรรษ 2510 โน่น บ้างหรือเปล่านะ…?!!!!!