เสือตัวที่ 6

 

สถานการณ์การต่อสู้ในยูเครน ณ เวลานี้ถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เป็นการต่อสู้ระหว่างกองทัพรัสเซียกับกองกำลังของยูเครนตามลำพังเท่านั้น หากแต่มีพันธมิตรยักษ์ใหญ่ทั้งสหรัฐอเมริกาและ ชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศให้การสนับสนุนยูเครนในการต่อสู้กับกองทัพรัสเซียในทุกรูปแบบ ทั้งเปิดเผยและปิดลับ ทั้งทางตรงด้วยการส่งกำลังอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารตลอดจนกองกำลังส่วนหนึ่งและกลุ่มที่ปรึกษาเสนาธิการทางทหาร และการสนับสนุนในทางลับด้วยการช่วยตัดกำลังความเข้มแข็งของกองทัพรัสเซียให้อ่อนกำลังลงด้วยการปิดล้อมและตัดกำลังทางด้านเศรษฐกิจในทุกรูปแบบต่อรัสเซียอย่างออกนอกหน้า ที่นำโดยสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้าและการไม่ซื้อน้ำมันตลอดจนก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการยึดอายัดธุรกิจของชาวรัสเซียในสหรัฐฯ และการสนับสนุนงบประมาณจำนวนมหาศาลต่อยูเครนเพื่อใช้เป็นทุนในการต่อสู้กับรัสเซีย ทั้งหลายทั้งปวงทำให้การดำเนินไปของการต่อสู้ของรัสเซียกับยูเครนยืดเยื้อมาเกินกว่า 3 เดือนแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด

   

ศักยภาพทางทหารของกองทัพยูเครนจึงทวีกำลังขึ้นจนเข้มแข็งอย่างที่ประชาคมโลกคาดไม่ถึง ผู้นำยูเครนยังสามารถบัญชาการรบในสงครามครั้งนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ขีดความสามารถในการดำรงสถานภาพการสู้รบจึงสามารถหนุนเนื่องการรบได้อย่างอัศจรรย์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ย่อมไม่เกิดสายตาของรัสเซียไปได้ ผู้นำรัสเซียและผู้นำกองทัพต่างตระหนักดีว่าการต่อสู้ในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียนั้นจะไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่วางแผนไว้แต่แรก และปรปักษ์สำคัญของรัสเซียก็คือสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนยูเครนในการต้านทานรัสเซียอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ศัตรูตัวจริงของรัสเซียก็คือสหรัฐฯ ที่กำลังเปิดตัวออกมาต่อสู้กับรัสเซียอย่างชัดเจนเพื่อมุ่งทำลายรัสเซียให้ล่มสลายลงผ่านตัวแสดงอย่างยูเครนอันเป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) เช่นเดียวกับสงครามตัวแทนในยุคสงครามเย็นในยุคศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา

            

หากแต่สงครามตัวแทนในยุคนี้ที่เป็นศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ กำลังทำสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนซึ่งก็คือยูเครนในห้วงเวลานี้ มีความล่อแหลมและเป็นอันตรายยิ่งกว่าหลายเท่าจากการเผชิญหน้าระหว่างประเทศมหาอำนาจที่มีอาวุธทำลายล้างสูงและอาวุธยุคใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพซึ่งนั่นย่อมเป็นหายนะของมวลมนุษยชาติที่ไม่อาจประเมินได้ ด้วยการสนับสนุนการต่อสู้ของยูเครนที่มีต่อรัสเซียนั้น สหรัฐฯ ได้ป่าวประกาศชัดเจนมากขึ้นประหนึ่งว่า กำลังทำสงครามกับรัสเซียด้วยตนเอง อันเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ มองรัสเซียเป็นปรปักษ์สำคัญซึ่งจะต้องถูกทำให้ล่มสลายลง อันเป็นสิ่งที่รัสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจหนึ่งในยุคปัจจุบันย่อมยอมไม่ได้เด็ดขาด การเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจสหรัฐฯ กับรัสเซียและพันธมิตร จึงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบและมันจะยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ หากสหรัฐฯ ไม่แสวงหาหนทางอื่นที่จะลดความตึงเครียดลงในภูมิภาคนี้  

            

ล่าสุดประธานาธิบดีโวโรดีมีร์ เซเลนสกี และเจ้าหน้าที่ทางการยูเครนหลายคนเรียกร้องให้ส่งมอบเครื่องยิงจรวด MLRS เพื่อต่อกรกับการระดมยิงของรัสเซียในพื้นที่ทางตะวันออกของภูมิภาคดอนบาส แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะกล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่ส่งระบบการยิงจรวดที่สามารถโจมตีได้ถึงดินแดนรัสเซียให้กับยูเครน ด้วยหลายฝ่ายกังวลว่าการกระทำเช่นนั้น อาจส่งผลให้สหรัฐฯ และพันธมิตรนาโต (องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ) กลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซียก็ตาม หากทว่าขณะนี้กองทัพยูเครนในกรุงเคียฟใช้ปืนครก เอ็ม 777 พิสัยการยิงไกล 25 กิโลเมตร ที่สหรัฐฯ ส่งมอบให้ก่อนหน้านี้ ในการโจมตี แต่ระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง MLRS จะช่วยให้ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายที่อยู่ไกลกว่าเดิมได้ โดยแบตเตอรี่ของระบบยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น เอ็ม 270 สามารถโจมตีเจาะเป้าหมายที่อยู่ออกไปได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร และสามารถโจมตีเป้าหมายระยะใกล้ราว 70 กิโลเมตร ได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่สหราชอาณาจักรก็มีระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง MLRS เช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เคยกล่าวว่ายูเครนควรมีจรวด MLRS เพื่อปกป้องตัวเองจากปืนใหญ่ที่โหดร้ายของรัสเซีย แต่กระนั้น นายจอห์นสัน ก็ยังไม่ได้ระบุว่าสหราชอาณาจักรจะส่งอาวุธดังกล่าวให้ยูเครนแต่อย่างใด หากแต่ไม่ไม่ข้อยืนยันใดๆ ได้ว่า ในอนาคตมหาอำนาจทั้งหลายที่อยู่ตรงข้ามกับรัสเซียจะให้การสนับสนุนอาวุธที่ทันสมัยและแม่นยำสูง โดยเฉพาะอาวุธหรือขีปนาวุธที่มีระยังยิงไกลจนเป็นภัยคุกคามต่อการทำสงครามของรัสเซียครั้งนี้หรือไม่

            

การจำกัดขีดความสามารถของอาวุธที่ส่งให้ยูเครน อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งกับรัสเซีย แต่ในเวลาเดียวกันยังสามารถเสริมกำลังให้กองทัพยูเครนในรูปแบบอื่นๆ อยู่ แต่สหรัฐฯ ก็ยังระบุว่าพร้อมที่จะส่งมอบระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง MLRS ให้ยูเครน แต่จะไม่ส่งมอบยุโธปกรณ์ที่มีวิถีทำลายล้างได้ไกลที่สุด ที่สามารถใช้ได้กับระบบยิงยุทโธปกรณ์หลายลำกล้องนี้ ในขณะที่รัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า หากสหรัฐฯ ส่งมอบระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง MLRS ให้ยูเครน ก็ถือได้ว่าสหรัฐฯ ได้ล้ำเส้นความพอดีที่รัสเซียจะยอมรับได้แล้ว และอาจมองได้ว่าพยายามยั่วยุให้รัสเซียตอบโต้ยูเครนและทุกฝ่ายที่แสดงตนเป็นปรปักษ์ต่อรัสเซียอย่างรุนแรง นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวโจมตีชาติตะวันตกทั้งหลายที่ให้การสนับสนุนยูเครนในทุกรูปแบบในทุกกรณีทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับกองทัพยูเครนและกลุ่มชาตินิยมชาวยูเครนโดยเฉพาะการสนับสนุนอาวุธทันสมัยและมีอานุภาพสูงเพื่อต่อสู้กับรัสเซียที่ผ่านมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น เป็นการกระทำที่กำลังทำสงครามตัวแทนกับรัสเซียอย่างชัดเจนซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดกับชาติเหล่านั้นในที่สุด และเตือนว่า การสนับสนุนอาวุธอานุภาพสูงใดๆ เหล่านั้น  หมายถึงการยกระดับการสู้รบให้รุนแรงและกว้างขวางขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

            

ผู้นำรัสเซียยังได้เตือนชาติปรปักษ์ทั้งหลายว่า เป้าประสงค์ของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่มุ่งทำลายล้างรัสเซียให้ล่มสลายลงนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น และรัสเซียจะตอบโต้สหรัฐฯ และพันธมิตรทั้งหลายอย่างสาสม และล่าสุดปูตินได้ประกาศว่า หากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรสนับสนุนอาวุธที่มีความทันสมัยระยะยิงไกลแล้ว รัสเซียจะทำลายเป้าหมายใหม่ในยูเครนที่ยังไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน จากบทเรียนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการผนวกคาบสมุทรไครเมีย จุดชนวนสงครามในภูมิภาคดอนบาส หรือการรุกยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ปูตินจะตัดสินใจทำในสิ่งที่เลวร้ายกว่าปัจจุบัน  รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาจะกล้ากดปุ่มยิงอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธทำลายล้างสูงใดๆ ในความครอบครองของรัสเซียเข้าโจมตียูเครน และสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศใดก็ตามที่ให้การสนับสนุนยูเครนให้เป็นตัวแทนของพวกเขาในการทำสงครามกับรัสเซียอยู่ในขณะนี้ สงครามตัวทนในศตวรรษนี้ จึงแตกต่างจากแนวคิดสงครามตัวแทนในอดีต เพราะมันเป็นสงครามตัวแทนของสหรัฐฯ และพันธมิตรเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งมีคู่สงครามเป็นมหาอำนาจทางทหารอย่างรัสเซียโดยตรง มันจึงสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างหายนะต่อมวลมนุษยชาติของโลกใบนี้อย่างมิอาจประเมินได้