9 ปีที่ผ่านมา สนามเลือกตั้งกทม.ยังไม่เปิดขึ้น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่16คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
และเมื่อรัฐบาลของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ไฟเขียว สนามกทม.จึงเปิดขึ้นตามแรงกดดัน จากฝ่ายการเมือง บน ความพร้อม ของฝั่งตรงข้ามรัฐบาล อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ พรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล ไม่มีตัวแทนลงสนาม
แต่สำหรับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครในนามอิสระ ประกาศตัวมาตั้งแต่แรกก่อนหน้าผู้สมัครรายอื่น ๆ เป็นเวลาหลายปี และพูดได้ว่า แต่ละพรรคการเมือง รวมถึงแต่ละขั้วอำนาจ ต่างหา ผู้สมัคร ที่สูสีกับชัชชาติได้ยากมาตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณ
ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการตามที่กทม.แถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ค.65 ปรากฏว่าชัชชาติ ไม่เพียงแต่เอาชนะคู่แข่งได้อย่างถล่มทลาย โดยทำได้ถึง 1.38 ล้านเสียงเท่านั้น แต่ชัชชาติ ยังทำลายสถิติคะแนนของผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม.ทุกคนที่ผ่านๆมา แม้แต่ ม.ร.ว.สุขุพันธุ์ บริพัตร ที่เคยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในปี2556 ไปด้วยคะแนน 1.25 ล้านคะแนน
แน่นอนว่า ชัยชนะของชัชชาติ ครั้งนี้ย่อมถูกนำไป ถอดบทเรียน สำหรับทุกพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองว่า อะไร คือจุดอ่อน และจุดแข็ง ที่ต้องเร่งแก้ไข ก่อนถึงวันเปิดสนามการเลือกตั้งครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ ขั้วอำนาจของ 3ป. ที่ถูกจับตามากกว่าใคร ว่าถูก เขย่า จากชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ด้วยเหตุที่คนกรุงเทพฯ กำลังส่งสัญญาณ ในทางลบ ปฏิเสธ อำนาจของรัฐบาลที่ขับเคลื่อนโดย 3ป.
แม้ชัชชาติ จะบอกว่า เขาเองจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ของคนกรุงเทพฯ ทุกคนทั้ง 6ล้านคน ไม่ต้องการแบ่งแยก แบ่งฝ่าย หรือโกรธแค้นใครก็ตาม แต่ในวันที่ชัชชาติแถลงข่าวหลังรู้ผลว่าคว้าชัยชนะ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 22 พ.ค. ชัชชาติกลับส่งสัญญาณที่ทำให้ถูกตีความต่อไปว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลของ 3ป. ต่อไปได้หรือไม่
เมื่อชัชชาติ ย้อนถึงอดีตวันที่คสช.ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และตัวเขาเองถูกจับ ถูกควบคุมตัว ว่าไม่เคียดแค้นใคร ก็ตาม หรือการระบุถึงว่าตนเองได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งมากกว่าคนที่เป็นนายกฯ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ท้าทายใคร
บรรยากาศทางการเมืองหลังจบศึกผู้ว่าฯกทม. ครั้งนี้ อาจเป็นเพียง ฉากเริ่มต้นถัดไปอีกหลายช็อต ที่ยากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะ ยิ่งเมื่อชัยชนะครั้งนี้ของชัชชาติ ยังทำให้สะท้อนถึง กระแสขาขึ้น ของ พรรคก้าวไกลผ่านผลคะแนนของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล ได้กวาดคะแนนไปได้ถึง 2.5แสนคะแนน ซึ่งนับว่าไม่ธรรมดา และมากพอที่จะทำให้ ฝ่ายรัฐบาล ต้องเร่งปรับกลยุทธ์ ปิดจุดอ่อน โดยเร่งด่วน !