ท่าทีจาก ระดับ แกนนำ ของพรรคร่วมรัฐบาลที่แสดงต่อการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย เพื่อปลุกพลัง คนเสื้อแดง ล้วนแล้วแต่ออกมาในทิศทางที่ไม่ต่างกัน นั่นคือ ไม่ให้น้ำหนัก ทั้งสิ้น !
ไม่ว่าจะเป็น อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ออกอาการวิตกกังวล เช่นเดียวกับ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอบคำถามสื่อหลายต่อหลายครั้งระบุว่า เป็นเรื่องธรรมดา
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องหาเสียง อย่างน้อยที่สุดถึงแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเดินไปตามปกติ ปีหน้าก็ต้องมีการเลือกตั้งทั่วไป เพราะรัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี สภาอยู่ครบ 4 ปี แต่ละพรรคการเมืองจึงต้องมีแนวทางหาเสียงของตัวเอง ดูว่าฐานเสียงอยู่ตรงไหนซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนประชาชนจะพิจารณาอย่างไรอยู่ที่บทเรียนในประวัติศาสตร์ ซึ่งประชาชนได้ติดตามสถานการณ์ทั้งอดีตและปัจจุบัน และคาดการณ์อนาคตว่าเป็นอย่างไร สุดท้ายจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนได้ จุรินทร์ ตอบคำถามสื่อล่าสุด
พร้อมทั้งระบุว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มีความชัดเจนว่า ในพื้นที่ภาคใต้นั้นพรรคประชาธิปัตย์ จะคัมแบ็ค ท่าทีของ 2พรรคใหญ่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลทั้งประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ต่างรู้ดีว่า เป้าหมายของพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในราวต้นปี 2566 นั้น เมื่ออยู่ในฐานะ รัฐบาล ย่อมสร้างความได้เปรียบ กว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างเห็นๆ
นอกจากนี้ อย่าลืมว่าภายในพรรคเพื่อไทย นั้นใช่ว่าจะดำรงอยู่กันอย่างเป็นเอกภาพ แม้วันนี้จะมี แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย สายตรงจาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ตามที แต่ไม่ได้หมายความว่า แพทองธาร จะเป็น ปัจจัย ที่มีความแข็งแกร่งมากพอ ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะขาด
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเอง กลับถูกจับตามาตลอดว่าในสนามเลือกตั้งรอบหน้า จะกลายเป็นพรรคที่ได้ส.ส.เพิ่ม มีทั้งกระแส และกระสุนเหนือพรรคอื่น แม้อาจจะไม่ได้เบียดขึ้นมาเป็น พรรคอันดับหนึ่ง ก็ตาม และเชื่อว่าลึกๆแล้วพรรคภูมิใจไทยเองก็ไม่ต้องการพาพรรคก้าวขึ้นไปถึงพรรคใหญ่เบอร์หนึ่ง เพราะเป้าหมายคือการได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล กับทุกขั้ว
ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ เอง ทั้งจุรินทร์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะเลขาธิการพรรค จะต้องพาพรรคทำแต้มได้มากกว่า 51 ที่นั่งส.ส.ไม่เช่นนั้น ทั้งคู่จะต้องตัดใจลาออกจากคณะกรรมการบริหารพรรคตามหลักของพรรค
แต่เหนืออื่นใด ไปมากกว่านั้น คือการทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยเอง ประเมินได้แล้วว่า ถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทย ก็จะไม่มีพลังของคนเสื้อแดง กลับมาหนุนหลังได้อย่างแข็งแกร่ง เหมือนที่ผ่านมา