สังคมประชาธิปไตยนั้นต้องเกิดจากพื้นฐานสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ตราบใดที่สังคมยังมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูง ความเหลื่อมล้ำทางประชาธิปไตยหรือการใช้อภิสิทธิ์ก็ยังสูงต่อไป ความฝันที่จะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์บนสังคมที่เหลื่อมล้ำสูง มันเป็นไปไม่ได้
ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงความเห็นเรื่องความเสมอภาคทางเศรษฐกิจไว้ตั้งแต่ พ.ศ 2500 ในคอลัมน์ตอบจดหมายว่า “อย่างนี้เรียกว่าความเสมอภาคเห็นจะดีกว่า ความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจ คือระดับแห่งความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาที่สุด ผมเองก็ใฝ่ฝันอยู่เป็นนิจ เพราะเมื่อมีความเสมอภาคดังนี้แล้ว เสรีภาพอันแท้จริงจึงจะเกิดขึ้น คือเสรีภาพในการพูด การเขียน การแดงความคิดเห็น จะตามมา ตลอดจนเสรีภาพที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
สังคมเราทุกวันนี้มีเงินเป็นอำนาจ
ตราบใดที่ความแตกต่างในฐานะเศรษฐกิจยังมีระดับอันเหลื่อมล้ำกันมากมายเช่นนี้ เงินก็มีอำนาจปิดปากได้ กำจัดเสรีภาพต่าง ๆ ได้ และใครขาดเงินก็ขาดโอกาสที่จะทำการได้เต็มที่ตามความสามารถของตน
มรดกของสังคมนั้นเรารับไว้ปะปนกันหลายอย่าง ควรเลือกคัดเก็บเอาไว้แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ ไม่ควรรับไว้ทั้งดุ้น ว่าโดยทั่วไปแล้ว ผมมีความเห็นตรงกับคุณในข้อนี้”
(“ตอบปัญหาประจำวัน” วันที่ 2 ตุลาคม 2500)
บางรัฐบาลก็อ้างการลดความเหลื่อมล้ำ เข้าไปกุมการดำเนินการทางเศรษฐกิจเสียเองโดยตรง หวังว่าจะช่วยให้พลเมืองผู้มีฐานะเศรษฐกิจไม่ดี เปลี่ยนแปลเพราะมีรายได้สูงขึ้น
อย่างการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาดของรัฐบาลเพื่อไทย มันมิใช่แค่ขั้นตอนรับจำนำ มันกลายเป็นว่า “รัฐ” เกือบจะผูกขาดการค้าข้าว เพราะรัฐเป็นผู้ซื้อข้าวเก็บไว้มากที่สุด
แล้วสุดท้าย ต้องขาดทุน...วายป่วง
ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่รัฐจะเข้าไปดำเนินการทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจว่า “ผมพูดมาแล้วหลายครั้งหลายหนว่า การที่รัฐจะเข้าไปดำเนินการทางเศรษฐกิจนั้น หากบุคคลที่มาประกอบกันเป็นรัฐ ยังมีความโลภ ยังพร้อมที่จะหาประโยชน์ใส่ตัวแล้ว ก็ยิ่งร้ายหนักขึ้นไปอีก เพราะราษฎรจะกลายเป็นทาสของรัฐ หรือบุคคลที่เป็นรัฐนั้นไป
ด้วยเหตุนี้เมืองไทยจึงยังทำไม่ได้”