ทีมข่าวคิดลึก เมื่อ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรัฐบาลเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ภารกิจที่สำคัญตลอดทั้งห้วงสัปดาห์นี้ คือการโชว์วิสัยทัศน์ ของ "ผู้นำไทย"บนเวทีสากล ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น และแต้มต่อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังคสช.ทำรัฐประหารและรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ เข้าสู่ปีที่ 3 ตามกำหนดการสำคัญภารกิจของพล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างวันที่ 18-25 ก.ย.คือการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 71 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเวทีดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญสำหรับบทบาทของไทยในเวทีโลก แน่นอนว่าในวาระที่พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมตัวนำไปถ่ายทอดต่อผู้นำตลอดจนประมุขประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุม กว่า 190 คน นอกเหนือจาก"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังน่าสนใจว่า การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจบนเวทีใหญ่ ครั้งนี้ของบิ๊กตู่ ยังดูจะมีความแตกต่างไปจากเมื่อแรกเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ หลังการยึดอำนาจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ได้ใช้วันเวลาทั้งสิ้น "848 วัน" ตั้งแต่22 พ.ค. 2557 ถึง 16 ก.ย. 2559 เข้ามาบริหารประเทศ ดูแลจัดการความเรียบร้อยในบ้านเมือง จนเกิดกระแสที่เรียกว่า"ขานรับ" จากประชาชน หลายต่อหลายกลุ่ม และกลายเป็นว่าวันนี้ "คะแนนนิยม" ของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นมีความโดดเด่น เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เกิดเป็น"แคนดิเดต" ผู้ที่จะเข้ามาเป็น "นายกฯคนที่ 30" ย่อมต้องถือว่า ไม่ธรรมดา !อีกทั้งยังต้องไม่ลืมว่า การเดินทางไปปรากฏตัวบนเวทีโลกของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มหานครนิวยอร์ก รอบนี้ยังพกพาความมั่นใจ ว่าจะสามารถตอบคำถามในเรื่องราวทางการเมืองในบ้านเราได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มากกว่าที่ผ่านมา เมื่อล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งให้ยุติการใช้ศาลทหาร และให้พลเรือนไปขึ้นศาลยุติธรรม นับจากนี้เป็นต้นไป !การตัดสินใจลดความแข็งกร้าวคลายกฎเหล็กของ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมาจากความเชื่อมั่น และมั่นใจว่าสถานการณ์ภายในประเทศอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ อีกทั้งยังเป็นการสนองต่อข้อเรียกร้องที่ทั้งสหรัฐฯ และองค์กรด้านสิทธิ มนุษยชนได้เคยกดดันรัฐบาลคสช.มาโดยตลอด เมื่อการผ่อนกฎเหล็กออกคำสั่งให้ยุติการใช้ศาลทหารเช่นนี้ ย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล และคสช. สามารถตอบคำถามต่อนานาประเทศได้อย่างชัดถ้อยชัดคำมากขึ้นอีกทั้งยังเป็นการเดินทางไปสหรัฐฯ ในยามที่ "คะแนนนิยม"ของตัวบิ๊กตู่เองพุ่งแรงแซงหน้า"นักการเมือง" อย่างชัดเจนขณะเดียวกัน มีหลายฝ่ายยอมรับว่าการที่คะแนนนิยมของตัวพล.อ.ประยุทธ์ มีเหนือนักการเมืองนั้น ต้องถือว่ามาจากท่าทีของเขาเองที่สามารถสร้างความพึงพอใจ ให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งในด้านผลงานรัฐบาลที่ทำให้กลายเป็น"ตัวทำคะแนน" ก็น่าจะมาจากนโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันและการจัดระเบียบสังคม ที่ทำให้ผู้คนในสังคมถูกใจจนเกิดเป็นภาพที่มีความแตกต่างระหว่างรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารกำลังทำงานเข้าตาประชาชนส่งผลให้ภาพลักษณ์ ของ "นักการเมือง" โดนโจมตี และลิดรอนเครดิตไปโดยปริยาย จนเป็นการยากที่จะหาทาง "ตีตื้น" ให้กลับมาได้ในเร็ววัน การเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ครั้งนี้ ในวาระย่างก้าวขึ้นสู่ปีที่3ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บนเวทีโลกจึงมีความแตกต่างไปจากเมื่อครั้งยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างน่าจับตา !