ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 64 ในท่ามกลางโควิดระบาดไม่เลิกติดเชื้อวันละกว่าหมื่นคน เสียชีวิตต่ำกว่าร้อยพร้อมๆกับเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้านจากคนทุกกลุ่มก็ตามแต่รัฐบาลคงหมดหนทางแล้ว ต้องเสี่ยงต่อไป
นายกรัฐมนตรีคงมั่นใจแล้วว่าตัวเลขโควิดคงไม่มากไปกว่านี้แล้ว มีแต่เท่าเดิมและชะลอตัวลดลง เพราะได้ให้วัคซีนกับประชาชนไปเกือบเท่าประมาณการแล้ว และได้เตรียมการเปิดประเทศพร้อมประกาศในเดือนหน้า โดยเฉพาะการลงทุน 200 ล้านบาทกับเชิญ ลิซ่า นักแสดงชาวไทยสังกัดเกาหลีกับนักร้องอิตาลีระดับโลกอีกคนมาแสดงที่ภูเก็ตและเชียงใหม่ตามที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก
นายกรัฐมนตรีบอกประชาชนด้วยความมั่นใจว่าขอเวลาอีก 5 ปี ประเทศไทยจะดีขึ้น เนื่องจากรู้อยู่แก่ใจว่าแผน 13 กับการพลิกโฉมประเทศจะเกิดขึ้น ประชาชนจะมีรายได้ต่อหัวต่อปีไม่น้อยกว่า 8,800 ดอลลาร์ ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะลดลงโดยมั่นใจว่าตั้งแต่ปี 2566-2570 ต้องเกิดได้แน่
-ผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเกิดผล
-โครงการ EEC จะเริ่มเห็นผล
-การท่องเที่ยวจะค่อยๆปรับตัวขึ้น
-การส่งออกยังคงเป็นพระเอกอยู่
-ในขณะที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้น การจัดเก็บรายได้ของรัฐจะได้เพิ่มขึ้น
-ฯลฯ
นายกรัฐมนตรีและ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเริ่มออกหาเสียงกันแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีลงไปแล้ว 10 จังหวัดเพื่อดูความเรียบร้อยของน้ำท่วมพร้อมๆกับการหาเสียงไปในตัวและยังประกาศว่าจะมีประชุม ครม.สัญจรที่ จ.กระบี่ในวันที่ 8 พ.ย. 64 เพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบี่ปลอดภัยเหมาะที่จะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม ส่วนพลเอกประวิตร ลงไปแล้ว 5 จังหวัดได้ผลพอควรจากการตอบรับของประชาชนและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลถ้วนหน้า
รัฐบาลยังเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งคราวหน้า แม้ว่าจะใช้บัตร 2 ใบก็ยังมีโอกาสกวาดเสียงในสภาผู้แทนฯได้มาก ส่วนการเลือกตั้ง อ.บ.ต.ทั่วประเทศในเดือนหน้า หวังว่าทีมของพลังประชารัฐจะสามารถได้รับเสียงสนับสนุนเพื่อเป็นพื้นฐานในการเลือกตั้งใหญ่ โดยขอแก้ ก.ม.ให้รัฐมนตรีและพรรคการเมืองสามารถเดินหน้าหาเสียงให้ อบต. ได้
ถึงอย่างไรโควิดคงอยู่คู่กับประชาชนไปอีกยาวไกล ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นสู้เพราะเป็นโอกาสสุดท้าย นักท่องเที่ยวต่างชาติ 46 ประเทศอยู่ในช่วงหน้าหนาวและเป็นไฮซีซั่นของประเทศไทย น่าจะดึงดูดเงินไหลเข้าประเทศได้มากพอที่จะทำให้ GDP สูงขึ้น 4-5% หรือโควิดอาจเพิ่มขึ้นก็ได้