ทองแถม นาถจำนง เชิญอ่านเรื่อง ม.ร.ว บุญรับ พินิจชนคดี ที่ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ เขียนไว้ ต่อนะครับ “ตั้งแต่ผมจำความได้ คุณพี่บุญรับเป็นผู้เลี้ยงดูผมในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินอยู่หลับนอนไปจนถึงความประพฤติท่านเป็นผู้สอนให้ผมกินเป็น รู้จักรสและคุณค่าของอาหาร ท่านเป็นผู้สอนมารยาททั่วไปให้เข้ากับคนได้ทุกชั้น ท่านคอยดูแลให้รู้จักรักษาความสะอาด ให้รู้จักความสวยงามและความเป็นเวลา ความรู้ในการปฎิบัติตนให้ถูกต้องกับกาละเทศะนั้นได้มาจากท่านตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่ทั้งที่ท่านเลี้ยงดูผมมาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เล็ก ท่านก็ไม่เคยเอาตัวผมออกไปห่างแม่ ความรักแม่ ความใกล้ชิดและความอบอุ่นของเด็กที่ได้จากมารดาผู้บังเกิดเกล้านั้น ผมมีอยู่บริบูรณ์ไม่บกพร่อง มาคิดดูเดี๋ยวนี้ว่าคุณพี่บุญรับทำอย่างไรผมก็นึกไม่ออก คิดได้แต่ว่าท่านจะต้องมีวิธีการที่แนบเนียนมาก ทางด้านความเป็นครู คุณพี่บุญรับสอนหนังสือไทยให้กับผมตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กเล็กมากจนผมจำไม่ได้ว่าเรียนกันเมื่อไรและอย่างไร รู้แต่ว่าเมือจำความได้นั้นอ่านหนังสือไทยออกเสียแล้ว แต่มีหลักฐานพยานอยู่ที่หนังสือเรียนชื่อมูลบทบรรพกิจ ซึ่งคุณพี่บุญรับเก็บไว้ หน้าหนังสือนั้นทุกหน้า มีรอยด่างเป็นดวงสีชมพูเต็มไปหมด คุณพี่บุญรับบอกว่าท่านให้ผมใช้ก้านธูปชี้ตัวหนังสือที่อ่าน เวลาที่อ่านผิด หรือเกเรอย่างไรท่านก็ตี ผมก็ร้องไห้น้ำตาหยดถูกก้านธูปเป็นสีชมพู แล้วก็ตกไปที่หน้าหนังสือจนด่างเป็นสีชมพูทั้งเล่ม ผมจึงอ่านหนังสือออก พอเรียนภาษาไทยอ่านออกและอ่านหนังสือสามก๊กได้ดัง ๆ โดยผันชื่อจีนได้ไม่ผิด คุณพี่บุญรับก็สอนภาษาอังกฤษให้ ท่านสอนให้รู้ภาษาอังกฤษได้ถึงขนาดที่ผมไปเรียนอนุบาลที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง แหม่มโคลต้องตกใจที่เห็นเด็กโตแค่นั้นรู้หนังสืออังกฤษถึงเพียงนั้น นอกจากหนังสืออังกฤษหนังสือไทยแล้ว คุณพี่บุญรับยังสอนคณิตศาสตร์บวกลบคูณหารได้พอสมควร ก่อนที่ผมจะไปเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียน การที่ผมอ่านหนังสือได้สองภาษาไม่ติดขัดและพอคิดเลขในใจได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องคิดเลขไฟฟ้านั้น นับว่าเป็นบุญคุณของคุณพี่บุญรับมาจนบัดนี้ คุณพี่บุญรับเป็นชาววังทั้งตัว เพราะฉะนั้นจึงมีอารมณ์ขันและปฎิภาณว่องไวในการพูดจาทำให้คนครึกครื้นได้มาก วิชานี้ผมก็ได้เรียนเอาไว้มากจากคุณพี่บุญรับ และได้ใช้ในการพูดและการเขียนมาตลอดชีวิต ในทางกวีนิพนธ์คุณพี่บุญรับก็มีความรู้มาก เพราะท่านแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ได้ทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้นจำวรรณคดีได้มากเรื่องและอย่างยืดยาว ซึ่งท่านนำมาใช้ในหลายโอกาสเพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ความจริงลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของผู้มีการศึกษาในเมืองไทยในสมัยหนึ่ง อันเป็นลักษณะที่ลึกซึ้งมาก เพราะเท่ากับว่าท่านเหล่านั้นมีวัฒนธรรมไทยอยู่ในสายเลือด และแสดงออกอยู่ทุกขณะในชีวิตประจำวันของท่าน กาพย์กลอนโคลงฉันท์ที่ผมแต่งได้และได้เคยแต่งมาแล้ว เป็นสิ่งที่ผมได้เล่าเรียนมาจาดคุณพี่บุญรับทั้งหมด ผลงานจะดีเลวแค่ไหนนั้นเป็นเรื่องของผม แต่คุณพี่บุญรับเป็นแหล่งความรู้เบื้องต้นของผมในทางนี้ ความจริงคุณพี่บุญรับเคยแปลนวนิยายภาษาอังกฤษไว้หลายเรื่อง ได้มีนิตยสารสมัยนั้นนำเอาไปตีพิมพ์โดยใช้นามปากกา และท่านได้แต่งฉันท์ โคลงสี่สุภาพและกลอนเอาไว้มาก น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้สูญหายไปหมดแล้ว คุณพี่บุญรับเป็นคนดุสำหรับเด็ก นอกจากผมแล้วน้องของท่านคนอื่นๆก็เกรงท่านอยู่ทั่วกัน แต่สำหรับผมเมื่อทำผิดหรือซุกชนเกินการท่านก็ตีเอาเจ็บ ๆ ผมคงจะเป็นเด็กที่ซนร้ายกาจมาก เพราะคุณพี่บุญรับท่านต้องตีกินเปล่าไว้วันละ 5 ที ไม่ว่าจะทำผิดหรือไม่ทำ แต่คุณพี่บุญรับท่านตีชนิดเราพูดไม่ออกเพราะท่านเลี้ยงดูให้ปันอยู่ตลอดเวลา บุณคุณของท่านมากเกินไปที่จะนึกถึงความเจ็บตัวมากบ้างน้อยบ้างที่มีอยู่เป็นระยะ ๆ วันไหนท่านไม่ว่าหรือตีเสียอีกผมกลับไม่สบายใจนึกว่าท่านเบื่อตัวผมเห็นว่าเป็นเด็กที่เลี้ยงไม่ขึ้นเอาดีไม่ได้ คุณพี่บุญรับท่านรู้จักคนกว้างขวางมาก ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวและพระมเหสีหลายรัชกาล ท่านก็ได้เฝ้าแหนเพ็ดทูลได้อย่างใกล้ชิดทรงโปรดปานคุ้นเคยแทบทุกพระองค์ เจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับท่านนั้น ท่านรู้จักคุ้นเคยมาก และท่านก็เป็นที่รักชอบของผู้คนทั่วไป คุณพี่บุญรับเป็นคนตรง นินทาคนไม่เป็น มีอะไรไม่ถูกใจก็พูดกันต่อหน้า โดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะโกรธ แต่ส่วนตัวท่านเองนั้นไม่มีความอิจฉาพยาบาทใครทั้งสิ้น จะโกรธใครก็โกรธเพียงชั่วแล่น เห็นใครได้ดีก็ดีใจกับเขาด้วยทุกครั้งไป ความซื่อสัตย์สุจริตนั้น คุณพี่บุญรับถือว่าเป็นของจำเป็นในชีวิต จะขาดไม่ได้หรือจะบกพร่องไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสั่งสอนอบรมผมในความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอดชีวิต แม้ผมจะเป็นผู้ใหญ่มีอายุมากแล้วท่านก็ยังไม่ละวาง และยังเป็นห่วงคอยดูผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ทำอะไรไปในทางไม่ชอบไม่ควรได้ เมื่อคุณพี่บุญรับทราบว่าผมได้เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านอุตส่าห์เดินมาถึงบ้านผม ถือห่อกระดาษห่อใหญ่เอาการมาด้วย ท่านเอาห่อกระดาษนั้นยื่นให้ผมแล้วบอกว่า "พี่เอาเงินมาให้ใช้ เอ็งจะได้ไม่ต้องไปโกงเขาให้เสียชื่อพี่ที่เลี้ยงเอ็งมา" แล้วท่านก็ไม่ได้ให้หนเดียว ท่านเจือจานตลอดมาด้วยเงินทีละมาก ๆ ที่ผมไม่รู้จะกราบขอบคุณท่านอย่างไร จึงจะสมเพราะท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลยในชีวิตนี้ และผมก็ไม่เคยให้อะไรท่านนอกจากความรักและความกตัญญูของน้องคนหนึ่งเท่านั้น ครั้งหนึ่งมีคนไปพูดกับคุณพี่บุญรับถึงเรื่องการแจกซองขาวหรือรับซองขาวในวงการเมืองของไทย และเรื่องเปิดประตูหลังบ้านรับคน คุณพี่บุญรับท่านตอบว่า "เรื่องคนอื่นเขาจะแจกซองขาวหรือรับซองขาวกันฉันพูดด้วยไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้เห็นด้วยกับตา แต่ฉันรู้ว่านายก ฯ น้องชายของฉันคนนี้มันรับซองขาว เพราะฉันเป็นคนให้มันเอง ถ้ามันขืนไม่รับ ฉันคงตีมันทั้งเป็นนายก ฯ ให้มันรู้กันไป น้องฉันคนนี้มันไม่มีทั้งประตูหน้าบ้านและหลังบ้าน แต่มันมีประตูข้างบ้านที่เปิดเข้าบ้านฉัน ฉันไปยื่นซองขาวให้มันทางประตูข้างบ้านนั่นแหละ" ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ขอแถมด้วยคำไว้อาลัยของ ม.ร.ว เสนีย์ ปราโมช สั้น ๆ ครับ "คุณพี่บุญรับ ซึ่งในบ้านเราเรียกกันว่าคุณใหญ่ หรือคุณหญิงใหญ่ เพราะท่านเป็นธิดาหัวปี สิ้นไปเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ภายในเจ็ดวันหลังจากนั้น ม.ร.ว. ถ้วนเท่านึก น้องชายถัดจากผมไปก็ตายตามไปอีกคนหนึ่ง เหมือนจะนัดกันอย่างไรไม่ทราบ พี่น้อง 5 คนเรานี้ รู้สึกว่าจะเป็นประชาธิปไตยโดยสันดาน เพราะชอบขัดชอบเถียง ไม่ค่อยจะพร้อมเพรียงกันนัก แต่ทำไมมาพร้อมเพรียงนัดหมายกันตาย ผมก็ยังงงอยู่ อาจจะเป็นเพราะชอบขัดชอบเถียงเป็นสันดาน ผมเองก็นึกอยู่ว่าจะอยู่ไปก่อน เพราะมีงานอดิเรกคือการวาดภาพและแต่งเพลงที่จะต้องทำอีกไม่น้อย ซึ่งตลอดชีวิตมาจนอีก 3 ปีจะ 80 ไม่มีโอกาสจะทำเนื่องจากมีงานของคนอื่นขัดขวางอยู่ คุณถ้วนนั้นคึกฤทธิ์ไม่แพ้น้องชาย มีหลาน ๆ อยู่กลุ่มหนึ่งที่เชียงใหม่ เป็นบุตร ม.ร.ว. วิโรจน์ ปราโมชลูกลุง ซึ่งตายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ในหลานกลุ่มนี้คนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่าคุณอาตาย กำหนดวันเผา ตนเองและพี่น้องติดธุระทำมาหากิน ทั้งค่าเดินทางก็แพง จึงคิดว่าจะไม่ลงมาเผา คุณถ้วนไปเข้าฝันว่า อามีแต่ญาติที่จะช่วยกันเผา เพื่อนฝูงไม่ค่อยมี พวกแกต้องมาเผาอา ตกใจตื่นขึ้นเล่าให้พี่น้องฟัง ทั้งกลุ่ม 4 - 5 คน จึงมาเผา หลานคนนี้ไม่เคยพบอาถ้วนมาก่อน ครั้นมาเห็นภาพถ่ายหน้าศพเข้่ ก็ร้องอี๊ด เพราะเหมือนกับอาถ้วนที่ไปเข้าฝันนั่นเอง คุณคึกฤทธิ์นั้นคึกจริงระหว่างชีวิต แต่คุณถ้วนรอไปคึกเอาเมื่อตาย ตลอดชีวิตเป็นคนเงียบ ๆ ขรึม ๆ ผมเองก็เกือบจะโดนเข้าเหมือนกัน ก่อนอื่น แม้จะมีลูก 3 หลาน 10 ผมชอบนอนคนเดียว เมื่อแม่ตาย ผมไปนอนคนเดียวแต่งตำรานิติกรรมและหนี้ มีคนพูดว่า พ่อแม่ตายใหม่ ๆ บางทีมาหาลูกหลาน ฟังแล้วผมไท่เชื่อ แม่ตายได้สามวัน สวดเจ็ดวันแล้ว ผมกลับไปบ้าน ไปเขียนตำราอยู่จนดึก ง่วงจึงเข้านอน ทันใดนั้นเหม็นกลิ่นศพคลุ้งไปหมด ไม่ได้นึกถึงเรื่อง ที่เขาเล่าให้ฟัง จึงเที่ยวค้นหาว่าหนูหรืออะไรมาตายในห้อง ค้นจนทั่วไม่พบสัตว์ตาย จึงนึกขึ้นได้ว่าแม่มาหา กลัวก็กลัว แต่อยากดูว่าจะมาอย่างไร เปิดไฟอยู่ไมมา มีแต่กลิ่นแรงขึ้น จึงเข้ามุ้งปิดไฟ ตาลอดโปงคอยดู ทันใดนั้นกลิ่นก็หายไปเฉย ๆ ผมว่าก็เกือบไปก็เพราะคุณถ้วนทำท่าจะเอาอีก ทุกวันนี้ผมนอนหัวค่ำตื่นดึก ๆ ตี 3 ตี 4 ตื่นแล้ว คุณถ้วนตายไปไม่กี่วัน ดึกตี 4 คืนหนึ่ง ผมนั่งฝึกวาดภาพเหมือนอยู่ในห้องนอน มีเสียงกุก ๆ กัก ๆ เหมือนคนเดิน โดยที่มีประสบการณ์มาก่อน ผมจึงดุเอาว่าคุณถ้วน อย่ามาเล่นอุตริกับพี่ เพราะไม่ช้าพี่ก็จะไปที่แกไป วันไหนไปถึง พี่จะไปหลอกให้แกกลัวผีจนต้องหนีไปเกิดใหม่ เสียงจึงเงียบ เขียนเรื่องเหล่านี้ คนคงคิดว่าอีตาแก่หงำเหงือก พูดจาเลอะเทอะ ใครคิดอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้รู้ไว้ว่าตัวเองแก่ลง มันอาจจะเลอะเทอะได้เท่า ๆ กับผม"