สมบัติ ภู่กาญจน์ ข้อเขียนของอาจารย์คึกฤทธิ์มีต่อไปว่า เบลีย์พูดไว้จริงที่สุดว่า ในการกระทำแบบนี้การประหยัดไม่ต้องพูดถึงกัน เพราะมีไม่ได้ เมื่อการประหยัดมีไม่ได้ การกระทำแบบนี้ก็ย่อมจะเป็นการเปลืองทรัพย์ของสังคม เขียนมาถึงตรงนี้ก็เกิดความคิดขึ้นว่า เห็นจะต้องรวบรวมบทความที่เขียนในระยะสองสามวันนี้ พิมพ์แจกเพื่อนร่วมงานในสภาผู้แทนราษฎรให้อ่านกันเสียแล้วซี ( โปรดสังเกตว่าอาจารย์คึกฤทธิ์คิดอย่างนี้เมื่อปีพ.ศ.2518 ขณะที่เริ่มเล่นการเมืองครั้งที่สองยกที่หนึ่ง คิดแล้วก็บอกไว้ในข้อเขียน แต่หลังจากนั้นมาอีกหลายสมัย การเมืองกับการเปลืองทรัพย์ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือไม่? ท่านผู้อ่านโปรดอ่านไปแล้วคิดตามไปด้วยนะครับ ) แต่ขณะเดียวกัน เบลีย์ก็บอกไว้ว่า คนที่สนับสนุนด้วยความเลื่อมใสจริงใจนั้น เอาจริงเข้าก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์นัก เพราะคนพวกนี้จะติดอุดมคติอุดมการ จนปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นไม่ได้ ซึ่งก็จริงอีกแหละครับ เพราะคนที่สนับสนุนผู้นำการเมืองด้วยอุดมคติและอุดมการของเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้น พอถึงตอนที่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นซ้ายจัดขึ้นมา ก็จะเปลี่ยนหรือปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ง่ายๆ ผิดกับคนที่สนับสนุนเพื่อเอาเงินนั้นเขาจะปรับได้ไวกว่า ผู้ที่สนับสนุนด้วยใจจริงไม่หวังทรัพย์เหล่านี้ จึงกลายเป็นเครื่องบังคับให้ผู้นำทางการเมืองต้องยืนอยู่กับที่ ในยามที่จำเป็นต้องเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวเพื่อหาจุดยืนใหม่ ถ้าจะว่าไปแล้วก็มีทั้งคุณและโทษ ไม่ต่างกัน การเมืองแบบการต่อสู้หรือแบบกีฬาแข่งขันนี้ ประกอบด้วย การสร้างเสียงสนับสนุนให้แก่ตนเอง และการทำลายการสนับสนุนแก่ฝ่ายตรงข้าม การเหล่านี้สามารถกระทำได้โดยอาศัยกติกาอันเปิดเผย มีกฏมีเกณฑ์เพื่อให้คนนิยมนับถือ แต่เบื้องหลังก็ต้องใช้ชั้นเชิงอันไม่พึงเปิดเผย เพื่อให้บังเกิดผลตามปรารถนา ซึ่งเรียกว่าเป็นยุทธวิธีทางการเมือง แต่พอถึงขั้นสุดท้ายอาจจะทำให้เกิดการประจัญหน้ากันและสู้กันให้ถึงลำหักลำโค่นไปเลยทีเดียว ถ้าจะพูดกันให้ชัดก็ต้องพูดว่า ในขั้นแรกก็จะต้องโฆษณาในความบริสุทธิ์ยุติธรรมของตนแต่ฝ่ายเดียว โดยกล่าวหาทำลายอีกฝ่ายหนึ่งว่าไร้ความบริสุทธิ์ยุติธรรม พอตั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของตนไว้ในใจคนได้มั่นคงแล้ว ขั้นที่สองก็ใช้ชั้นเชิงที่ไม่เปิดเผย เช่น จ้างคนเดินขบวนสนับสนุนตนบ้าง หรือให้เรียกร้องเอาอะไรจากอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งฝ่ายนั้นไม่มีปัญญาหรือหนทางที่จะทำให้ได้บ้าง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของนายเบลีย์ ไม่ใช่ของผมเองเลยครับสบถสาบานที่ไหนก็ได้ ส่วนหนังสืออ้างอิงนั้น ผมจะบอกไว้ให้เมื่อเขียนเรื่องนี้จบแล้ว ท่านผู้ใดสนใจก็ขอเชิญไปหามาอ่านได้เลย” ข้อเขียนชิ้นที่ 4 ของอาจารย์คึกฤทธิ์ จบลงด้วยความตอนนี้ ขออนุญาตเว้นวรรค-พัก-คิด- และขอชวนเม้าท์-กันสักนิดหนึ่งว่า ท่านผู้อ่านกรุณาอ่านข้อความสี่ย่อหน้าสุดท้ายนี้อีกครั้งเถิดครับ อ่านแต่ละประโยคแล้วคิดตามดูให้ดี ท่านพอคุ้นเคยกับภาพของการเมืองตามคำอธิบายเหล่านี้กันไหมครับ? กี่ยุคกี่สมัยมาแล้ว ที่ภาพเหล่านี้ก็ยังพอมองเห็นอยู่ในสายตาของผู้คนในสังคมไทย และบทสุดท้ายของการเมืองแบบนี้ก็ไม่เคยแตกต่างกันเลย คือทะเลาะกันรุนแรงจนมีเหตุให้ปฏิวัติ ปฏิวัติแล้วก็เป็นประชาธิปไตย(เท่าที่จะเป็นได้) เป็นแล้วก็ ‘เล่นการเมือง’ใส่กัน จนต้องขัดกัน ทะเลาะกันอีก จนมีเหตุให้ปฏิวัติอีก วงจรเหล่านี้ คนที่ศึกษาเรื่องการเมือง เขาเรียกว่า “วงจรปีศาจ” ประเทศไทยนั้น เจอปีศาจมากี่ตัวแล้ว ผมอยากให้เราช่วยกันคิดและพิจารณา ถึงวันนี้ 2560 จะผ่านไปแล้ว ความคิดความเข้าใจทางการเมืองของคนไทยจะ สตาร์ทอัพกันหรือไม่อย่างไรแค่ไหน? ถ้ายังหาคำตอบได้ไม่ง่าย ก็ลองติดตามอ่านกันต่อไปครับ ในข้อเขียนชิ้นต่อมา อาจารย์คึกฤทธิ์ต่อความไว้ดังนี้ ในเรื่องที่ว่าการเมืองเป็นกีฬาแข่งขัน ตามความเห็นของเบลีย์นี้ ผมเข้าใจว่าเบลีย์จะไปได้ต้นเค้าแห่งความคิดมาจากการเมืองในอินเดีย สมัยที่อังกฤษยังปกครองอยู่ เพราะเบลีย์เป็นคนอังกฤษที่ไปทำงานในอินเดียอยู่นาน เบลีย์อาจเน้นหนักในเรื่องชั้นเชิงซ่อนเร้นของการเมืองมากไปบ้าง ซึ่งในอินเดียสมัยนั้นอาจมีมากจริง แต่ถ้าจะคำนึงจากสภาพการเมืองในประเทศอื่นๆหลายประเทศเช่น สหรัฐอเมริกาเป็นต้น ความเห็นของเบลีย์ก็ไม่ผิดพลาดเกินไปนัก นอกจากการแข่งขันทางการเมืองในระดับประเทศแล้ว การเมืองที่เป็นการแข่งขันนี้ ยังอาจมีขึ้นในวงการใดวงการหนึ่งก็ได้ เช่นในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีโครงสร้างและองค์กรทางการเมืองเป็นของตัวเอง การเมืองแบบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับอำนาจการปกครองประเทศ ก็เป็นอำนาจปกครองของวงการหรือมหาวิทยาลัย จึงมีกฎเกณฑ์และกติกาตลอดจนชั้นเชิงในการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังมีโครงสร้างอื่นๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ก็ยังมีการแข่งขันชิงอำนาจเช่นเดียวกับในวงการเมืองเหมือนกัน โครงสร้างเหล่านี้ ผู้นำทางการเมืองที่เล่น ‘กีฬา’แข่งขันกันอยู่ ก็จะต้องดำเนินการเช่นเดียวกัน เมื่อการเมืองเป็นวิสาหกิจหรือเป็นธุรกิจ ซึ่งต้องมีเงิน มีคน มีการบริหาร มีทักษะ และไหวพริบ การเมืองก็ต้องมีคนกลางเช่นเดียวกับในธุรกิจ และคนกลางในทางการเมืองกับคนกลางในทางธุรกิจก็ย่อมจะได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน นายเบลีย์บอกว่า ถ้าหากว่า ‘กีฬาการเมือง’นั้นมีขนาดใหญ่ เงินทองที่จะต้องใช้ในการนี้ก็จะต้องมีจำนวนมาก และคนกลางในทางการเมืองนี้ ก็จะต้องมีเป็นจำนวนมากขึ้นเช่นเดียวกัน ผมเองนั่งดูการเมืองเมืองไทยมาเป็นเวลาสี่สิบกว่าปี บางครั้งก็นั่งดูอยู่วงนอก บางครั้งก็นั่งดูอยู่วงใน ถ้าจะถือว่าการเมืองเป็นการแข่งขันกีฬาตามความเห็นของนายเบลีย์ บางครั้งผมก็ได้ลงสนามแข่งขันเอง และบางครั้งก็มิใช่ผู้แข่งขัน แต่เป็นลูกบอลให้เขาเตะทั้งสองฝ่าย แต่คนที่เรียกว่าเป็นคนกลางทางการเมืองอย่างที่นายเบลีย์กล่าวถึงนี้ผมยังไม่เคยเห็น มีแต่คนที่ทำตัวเป็นขุมทรัพย์ให้กับนักการเมือง ซึ่งผมเห็นว่ามีจริงในประเทศไทย แต่นิยมจะทำให้เฉพาะแก่ทีมการเมืองที่ชนะแข่งขันแล้วเท่านั้น ฉะนั้นทีมที่แพ้จึงหาทางเอาชนะอีกได้ยาก ที่แล้วๆมานั้น ฝ่ายชนะจะครองถ้วยรางวัลไปครั้งละสิบๆปี และถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕เป็นต้นมา ทีมที่ชนะจริงๆก็เห็นมีแต่ทีมทหารบกเท่านั้น ที่ครองถ้วยชนะเลิศไว้ได้มากที่สุด................. ข้อเขียนนี้ยังไม่จบ ผู้สนใจขอเชิญติดตามสัปดาห์หน้า เล่าเรื่องเก่ามาถึงตอนนี้ ผมก็เพิ่งจะสังเกตุความในประโยคสุดท้าย ว่าเพราะข้อเขียนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้? ที่ทำให้การปฏิวัติอีกครั้งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 หัวหน้าคณะปฏิวัติ ที่เรียกตัวเองว่าคณะปฏิรูปฯ จึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นพลเรือเอก เป็นทหารเรือไปไม่ใช่ทหารบก!