เสรี พงศ์พิศ
www.phongphit.com
นายบารัค โอบามา นับเป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนแรกที่ไปเยือนลาวตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ได้ร่วมรำวงอย่างสมานฉันท์กันเองกับอ้ายน้องที่เคยรบกันเมื่อสี่ห้าสิบปีก่อน
การเยือนของผู้นำอเมริกันครั้งนี้ทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสยดสยองว่า ระหว่างปี 2507-2516 ได้มีการทิ้งระเบิดแบบปูพรมที่ลาวเป็นปริมาณที่มากกว่าระเบิดที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองทั้งหมดรวมกัน นายโอบามาบอกว่า ลาวเป็นประเทศที่ถูกระเบิดมากที่สุดในโลก ในช่วงนั้น ทุกๆ นาที จะมีระเบิดลง 8 ลูก
สิบปีของสงครามเวียดนาม เครื่องบินอเมริกันบินไปทิ้งระเบิดที่ลาวถึง 580,344 เที่ยว ทิ้งระเบิด 260 ล้านลูก คิดเป็นระเบิดถึง 2 ล้านตันทั้งภาคเหนือและภาคใต้ของลาว เพื่อจะได้โดดเดี่ยวเวียดนาม ป้องกันไม่ให้กองกำลังเวียดนามเหนือลงไปทางใต้และรุกล้ำเข้ามาสู่ประเทศไทยผ่านลาว
ระเบิดส่วนใหญ่เป็นระเบิดดาวกระจายที่สังหารผู้คน 10 จาก 18 แขวงหรือเขตการปกครองของลาวเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ถูกทิ้งระเบิด และร้อยละ 30 ของระเบิดเหล่านี้ยังไม่ได้ระเบิด
หน่วยงานที่เก็บกู้ระเบิดประมาณว่ายังเหลือวัตถุระเบิด 288 ล้าน และระเบิด 75 ล้านลูกที่ยังไม่ระเบิดที่ตกค้างอยู่ในลาวหลังสงคราม ละถ้าหากไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คงใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะกู้ได้หมด ที่สหรัฐจะช่วยเป็นเงิน 90 ล้านเหรียญดังที่นายโอบามาบอกตอนมาเยือน ก็คงช่วยให้การกู้เร็วขึ้น แต่คงอีกหลายสิบปีกว่าจะหมด
เครื่องบินทิ้งระเบิดส่วนใหญ่ไปจากฐานทัพอเมริกันในเมืองไทย ที่ใกล้ชายแดนลาวมากที่สุดคือ นครพนม อุดรธานีและอุบลราชธานี ห่างออกไปก็ตาคลี อู่ตะเภา รวมไปถึงสนามบินเล็กๆ ที่ใช้สำรองอีกหลายแห่ง เช่นที่สกลนคร ห่างจากชายแดนลาวเพียง 70 ก.ม. (จำได้ว่า ได้ยินได้เห็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B52 บินผ่านไปวันละเป็นสิบๆ เที่ยว ไม่ต้องออกไปมอง ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นบี52)
ข่าวบีบีซีประมาณว่ามีคนเสียชีวิตจากระเบิดนั้นประมาณ 29,000 คน บาดเจ็บ 21,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน ระเบิดที่ตกค้างอยู่ใต้ดินบนดินกระจายไปทั่ว ยากที่จะรู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่าไร เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้คนที่ต้องออกไปทำมาหากินในป่าในทุ่ง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่อง เข้าใจว่าเป็นเครื่องเล่น
นับเป็นโศกนาฎกรรมของมนุษยชาติโดยแท้ทีเดียว และคนที่รับเคราะห์ก็เป็นชาวบ้าน โดยเฉพาะลูกหลานที่เกิดมาหลังสงคราม และก็ดูเหมือนว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องไม่ได้สนใจช่วยเหลือเก็บกวาดขยะอันตรายร้ายแรงเหล่านี้ นึกดูว่า 50 ปีที่ผ่านมา สหรัฐช่วยเหลือลาวเพียง 100 ล้านเหรียญ และมาให้วันนี้อีก 90 ล้านเหรียญ เศษเสี้ยวหนึ่งของราคาค่าใช้จ่ายในการทำสงครามเวียดนามและถล่มลาว
สาเหตุสำคัญของการทิ้งระเบิดปูพรมในประเทศลาวด้วยระเบิดสารพัดรูปแบบ โดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดน เพราะอเมริกันเชื่อว่า ถ้าหากไม่ปูพรมวางกับดักระเบิดไว้ กองทัพเวียดนามจะต้องรุกลงใต้ตามชายแดนลาว แล้วไปเข้าเขมรเพื่อจะได้ไปตีไซง่อนได้โดยไม่ยากนัก
เมื่อหลายปีก่อน บรรดาอดีตทหารในสมรภูมิเวียดนามเดินทางไปเยือนถิ่นที่เคยสู่รบและพบปะกับอดีตนายทหารเวียดนาม ระหว่างงานเลี้ยง นายพลอเมริกันคนหนึ่งถามนายพลเวียดนามว่า ท่านคิดว่า มีวิธีใดไหมที่จะทำให้เวียดนามพ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น ในใจคงนึกว่า เดี๋ยวนายพลเวียดกงเก่าคงคุยแหลกว่า ไม่มีทางเอาชนะเวียดนามได้อย่างแน่นอน
แต่ผิดคาด เพราะนายพลเวียดนามตอบว่า มีทาง ถ้าหากท่านสามารถทำลาย “เส้นทางโฮจิมินท์” ได้ เราพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เพราะไม่มีทางลงไปถึงเวียดนามใต้และตีไซ่ง่อนได้
ถนนโฮจิมินท์ เป็นชื่อเส้นทางที่เวียดนามเหนือได้สร้างจากทางเหนือเข้าไปในลาว เลียบชายแดนของในฝั่งลาวลงไปยังเขมรแล้ว “มุดดิน” ไปเข้าเวียดนามใต้และไซ่ง่อน ถนนนี้ยังเหลือให้เห็นเป็นอนุสรณ์อยู่จนถึงทุกวันนี้ (เคยใช้เส้นทางนี้ประมาณ 50 ก.ม.ทางตอนกลางของลาว ที่ตัดกับถนนจากสวรรณเขตในลาว ไปดองฮาและดานังในเวียดนาม ก่อนถึงชายแดนเวียดนามเลี้ยวขวาไปเมืองนองบนเส้นทางโฮจิมินท์)
ถนนสายนี้ยาวเกือบสองพันกิโลเมตร ทีเวียดกงใช้เชื่อมฮานอยกับไซง่อนด้วยเส้นทางพิเศษที่ว่าสร้างโดยทหารและชาวบ้าน โดยเฉพาะสตรีชาวเวียดนามเป็นหมื่นๆ คน ตามชายแดนลาว เขาสร้างถนนนี้ตอนกลางคืน โดยเฉพาะในข้างขึ้น ทำงานใต้แสงจันทร์ มีแสงไฟไม่ได้ เพราะเครื่องบินอเมริกันทิ้งระเบิดทั้งกลางวันกลางคืนตามตะเข็บชายแดน
ถนนสายนี้ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ ปูด้วยหินก้อนใหญ่ ทำให้ไม่มีหลุมมีบ่อ รถหนักๆ อย่างรถถังสามารถใช้เส้นทางนี้ได้ (แต่รถยนต์วันนี้ที่ไปลองใช้เส้นทางดังกล่าวต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะระยะทาง 50 ก.ม.อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะวิ่งได้ไม่เร็วกว่าเกวียน หัวสั่นหัวคลอนตลอดทาง)
นายโอบามาคงตกใจและเศร้าสลดไม่น้อยที่ได้เห็นซากระเบิดน้อยใหญ่ ไม่ใช่มีแต่เล็กเท่ากำปั้น แต่บางอันเป็นระเบิดจรวดมิสไซล์ยาวหลายเมตร และที่สำคัญ ได้เห็นขาเทียมแขนเทียมของผู้คนที่สูญเสียแขนขาและชีวิตไปเพราะระเบิดเหล่านั้น
สงครามเวียดนามได้จบลง คงเป็นเพราะประชาคมโลกรับไม่ได้กับความโหดร้ายของการรบราฆ่ากันแบบนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่า สหรัฐอเมริกาและประเทศมหาอำนาจต่างก็ลืมความไร้เหตุผลจนกลายเป็นความบัดซบ (absurd) ของสงคราม ยังคงใช้ “ระเบิด” เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งและเป็นอำนาจควบคุมโลกต่อไปในนามของการรักษาสันติภาพ