เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com “เงินให้เปล่าสำหรับทุกคน” หรือ “รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า” (Universal Basic Income – UBI) เป็นประเด็นทางการเมืองไปแล้วในหลายประเทศ คนอังกฤษประมาณครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่เมื่อลงไปในรายละเอียดว่า จะต้องขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาใช้ คนที่เห็นด้วยก็ลดลง ความจริง คำถามทีว่าจะเอาเงินมาจากไหนเพื่อจ่ายในโครงการนี้ กำลังเป็นที่ถกเถียงและหาทางออก ซึ่งน่าจะหาได้ถ้าลดงบประมาณด้านอื่นๆ และค่าใช้จ่ายสวัสดิการต่างๆ ที่น่าจะแทนที่ได้ด้วยรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (รพถ.) อยู่ที่ผลการทดลองนำร่องในประเทศต่างๆ ในสังคมและบริบทที่แตกต่างกัน หลายปีก่อนมีโครงการทดลงที่ลอนดอนกับคนเร่ร่อน 13 คน ที่นอนกลางถนน ประทังชีวิตด้วยคูปองอาหารคนจน มีความพยายามช่วยคนเหล่านี้หลายสิบปีไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าคิดค่าใช้จ่ายในการ “ดูแล” ด้านต่างๆ ก็ไม่น้อย ผู้เกี่ยวข้องจึงเปลี่ยนมาลองให้เงินสดพวกเขาคนละ 3,000 ปอนด์ แบบไม่มีเงื่อนไข หนึ่งปีให้หลัง 7 คน มีที่พักอาศัย คนอื่นๆ กลับไปหาลูก หาญาติ หาความรู้ในการทำสวนทำงานที่ตนเองอยากทำ เฉลี่ยใช้เงินไปคนละ 800 ปอนด์เท่านั้น ไม่มีใครเอาไปซื้อเหล้าหรือยาเสพติด แต่เอาไปซื้อมือถือ ซื้อของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น กาย สแตนดิง ศาสตราจารย์ที่สถาบันตะวันออกและแอฟริกันศึกษา (SOAS) ที่ลอนดอน ผู้สนใจเรื่องรพถ.และร่วมก่อตั้งเครือข่ายทั่วโลกชื่อว่า BIEN (Basic Income Earth Network) ได้ทำการวิจัยทดลองที่อินเดียโดยการสนับสนุนด้านการเงินจากยูนิเซฟ เมื่อปี 2011 โครงการนี้ทำที่ 8 หมู่บ้านที่รัฐมัธยมประเทศ โดยทุกคนทุกเพศทุกวัยในหมู่บ้านเหล่านี้ได้รับเงินทุกเดือน 200 รูปี (ผู้ใหญ่) 100 รูปปี (เด็ก) (1 รูปีเท่ากับ 50 สตางค์) ต่อมาเพิ่มเป็น 300 (ผู้ใหญ่) และ 150 (เด็ก) ตอนแรกจ่ายเป็นเงินสด ต่อมาโอนเข้าบัญชีธนาคาร เป็นเงินให้เปล่าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แม้จะเป็นเงินจำนวนน้อยต่อคน (ครอบครัวหนึ่งได้ไม่น้อย) แต่หลังจาก 18 เดือนมีการประเมินผลเบื้องต้นพบเรื่องดีๆ มากมายที่แย้งกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าเป็นการเสียของและทำให้คนทำงานน้อยลง หลายคนนำเงินไปซ่อมบ้าน ห้องน้ำ ผนัง หลังคา มีมุ้งป้องกันมาลาเรีย โภชนาการดีขึ้น วัดได้จากน้ำหนักเด็กเฉลี่ยตามวัยสูงขึ้น ชาวบ้านไปซื้อข้าวของจากตลาด ได้ผักผลไม้สดอาหารมารับประทาน ไม่ใช่ไปรับแจกจากโกดังอาหารคนจนด้วยอาหารที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ดีบ้างเน่าบ้าง สุขภาพดีขึ้นดูได้จากการไปโรงเรียนของเด็ก พ่อแม่มีเงินให้ลูกนั่งรถไปโรงเรียน มีเสื้อผ้ารองเท้าใส่ การแจกเงินคนจนทำให้พวกเขามีอำนาจต่อรองมากขึ้น ริเริ่มกิจการเล็กๆ ร้านเล็กๆ งานซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ คนทำงานมากขึ้น มีงานที่คิดเองลงมือเองมากขึ้น ลดการออกไปรับจ้างนอกหมู่บ้าน ลดหนี้สิน หนี้นอกระบบที่จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน โครงการนี้ไม่เป็นที่พอใจให้ข้าราชการที่ทำงานโครงการสวัสดิการของรัฐ บัตรคนจน อาหารคนจน และอื่นๆ เป็นร้อยเป็นพันโครงการเพื่อ “สงเคราะห์” คนจน 350 ล้านคน หรือร้อยะ 30 ของประชากร ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แม้ว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตสูงมาก แล้วยังเป็นโอกาสให้เกิดคอร์รัปชั่นมากมาย โครงการทดลองวิจัยนี้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลอินเดีย และกำลังเตรียมขยายการทดลองในอีกหลายรัฐ รวมทั้งเตรียมแนวทางการประยุกต์ใช้ในระดับชาติ ศาสตราจารย์กาย สแตนดิงสรุปว่า จากการวิจัยทดลองที่อินเดียและหลายประเทศในเบื้องต้นสรุปได้ว่า รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าลดความยากจนได้จริงและน่าจะมีผลที่ยั่งยืนกว่าโครงการสวัสดิการต่างๆ ที่ทำทำมาหลายสิบปีทั่วโลก แต่คนจนกลับจนลง ความเหลื่อมล้ำกลับมากขึ้น โครงการนี้จะแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนได้เพราะเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อการสงเคราะห์คนจน แต่มองว่าเป็นสิทธิที่คนจนจะได้รับเพราะเป็นสมาชิกของสังคม และควรได้รับส่วนแบ่งจากทรัพยากรในขั้นพื้นฐานเพื่อดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี โครงการนี้ทำให้เกิดความเท่าเทียม เกิดเสรีภาพมากขึ้น ไม่ถูกครอบงำ หรือต้องทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่ถูกบังคับให้ทำตามเงื่อนไขต่างๆ เพื่อจะได้รับการสงเคราะห์ ตกอยู่ในสังคมอุปถัมภ์และกับดักความยากจนอย่างถาวร โครงการรพถ.ทำให้คนมีทางเลือกมากขึ้น การได้รับเงินเดือนขั้นพื้นฐานทำให้ไม่ต้องทนทำงานที่รู้สึกว่าไม่มีความหมาย ทำให้แม่บ้านอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้โดยไม่ต้องดิ้นรนออกไปหางานทำทิ้งลูกไว้ให้ใครก็ไม่รู้เลี้ยงดูให้ ทำให้คนทำงานจิตอาสาด้วยความสบายใจเพราะมีรายได้ขั้นต่ำ ทำให้คนทำงานศิลปะวัฒนธรรมที่ทำให้มีความสุขและเป็นตัวของตัวเองด้วยความสบายใจ และงานอื่นๆ มากมายที่ไม่ได้มากับรายได้ แต่เป็นงานสำคัญสำหรับครอบครัวและสังคมมนุษย์ โครงการรพถ.ทำให้คนมีความมั่นคงในชีวิต ทำให้สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น ความเครียดลดลง เป็นตัวของตัวเองในการตัดสินใจต่างๆ ได้มากขึ้น เป็นการปลดปล่อย (emancipation)ให้เป็นอิสระ วันนี้คนจำนวนมากเชื่อว่า รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า เป็นหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21 ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่มีพลังในการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้จริง อย่างที่วิคตอร์ ฮูโกบอก “พันกองทัพยังไม่เท่าความคิดหนึ่งที่ถึงเวลาของมัน” (Stronger than a thousand armies, is an idea whose time has come)