ทวี สุรฤทธิกุล การเมืองไทยเป็น “ศึกสายเลือด” มาตลอด คือระหว่าง “สายเลือดข้าราชการ” กับ “สายเลือดนักการเมือง” ดังที่ดีนำเสนอไว้ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “เมื่ออำมาตย์รวมขั้ว” ก็เป็นอันตรายสำหรับการเมืองไทย และแนวคิดนี้ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ เพราะอำมาตย์ที่ว่านั้นมีสายเลือกที่แตกต่างกัน ในวิชาสังคมวิทยาที่ศึกษาเรื่องกลุ่มทางสังคม พบว่าความแตกต่างของกลุ่มทางสังคมขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ชาติกำเนิด การอบรมกล่อมเกลา และสภาวะหรือสถานการณ์แวดล้อม ในเรื่องของชาติกำเนิด มีความหมายกว้างๆ ที่หมายถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มต่างๆ ในกรณีของกลุ่มข้าราชการ แต่เดิมคือกลุ่มชนชั้นสูงหรือศักดินาโดยแท้ แม้ว่าในภายหลังจะมีลูกชาวนาชาวไร่และชาวสวนสามารถไต่เต้าขึ้นไปมีตำแหน่งสูงๆ ในทางราชการ แต่ในระหว่างนั้นก็จะถูกกล่อมเกลาให้เป็นศักดินาไปด้วย ที่สุดก็จะกลายเป็น “ข้าราชการพันธุ์แท้” ที่ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ หรือมีความรู้สึกที่แปลกแยกกับคนกลุ่มอื่น ในขณะที่กลุ่มนักการเมืองนั้นมีกำเนิดมาจากชนชั้นล่างเป็นส่วนมาก แม้กระทั่งพ่อค้าหรือนักธุรกิจ ตลอดจนเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล ก็มีชาติกำเนิดที่ไม่สูงส่งนัก อย่างกรณีพ่อค้าคนจีนก็มาจากพวกเสื่อผืนหมอนใบ หรือเจ้าพ่อทั้งหลายก็ต้องก่อร่างสร้างตัวมาจากชนชั้นชาวบ้าน อย่างนี้เป็นต้น ในเรื่องการอบรมกล่อมเกลา คือการเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ ตั้งแต่ระดับครอบครัว กลุ่มเพื่อน ไปจนถึงกลุ่มต่างๆ ที่คนๆนั้นเข้าไปเกี่ยวข้อง สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น ลูกก็จะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน หรือมีการเลี้ยงดูที่ประคบประหงมจนเกินไป ก็อาจจะประสบปัญหาในทางพฤติกรรมได้ ยิ่งการคบเพื่อนทั้งที่ในโรงเรียนและแวดวงอาชีพต่างๆ ก็จะยิ่งทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่ม อย่างกรณีของประเทศไทย ที่ระบบราชการมักจะยึดถือระบบ “พวกพ้องน้องพี่” “บ้าสถาบัน เหล่า สี” ก็ยิ่งทำให้สังคมมีความแตกต่าง ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะใช้การศึกษาในบางระดับ เป็นต้นว่าสถาบันทางการศึกษาเฉพาะกลุ่ม เช่น วปอ. สถาบันพระปกเกล้า ฯลฯ มาหล่อหลอม ก็สามารถทำได้แค่การแบ่งปันผลประโยชน์บางอย่าง แต่โดยรวมแล้วยังมีการแบ่งกลุ่มระหว่างอาชีพต่างๆ นั้นอยู่ สุดท้ายคือในเรื่องสภาวะหรือสถานการณ์แวดล้อม ที่รวมถึง “โอกาส” ในการเข้าถึงทรัพยากรทางสังคมทั้งหลาย ข้าราชการก็ดูจะมีความได้เปรียบมากกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของสถานะทางอาชีพที่เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย และมีตำแหน่งหน้าที่ที่เอื้อต่อการการใช้อำนาจเหล่านั้น จึงมีฐานะเป็นผู้ที่ได้เปรียบทางสังคมมาแต่ต้น ในขณะที่นักการเมืองจะต้อง “ต่อสู้ ไขว่คว้า” มาด้วยความยากลำบาก ไม่ว่าในการก่อร่างสร้างตัวและการเข้าสู่ตำแหน่งที่จะไปสู่อำนาจ เช่น ต้องผ่านการเลือกตั้ง หรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่มักจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็มีผลต่อการเข้ามารวมกลุ่มในการใช้อำนาจ เพราะจะมีความรู้สึกแตกต่างกันดังกล่าว ในทางการเมืองไทย เราพบว่าข้อได้เปรียบของทหารกับข้าราชการในทางการเมืองนั้นเป็นลักษณะที่โดดเด่น แม้ว่าในบางยุคสมัยจะมีความพยายามของฝ่ายทหารและข้าราชการที่จะ “หล่อหลอม” ให้นักการเมืองเข้ามาร่วมสังฆกรรมในการใช้อำนาจอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีลักษณะเหมือน “น้ำกับน้ำมัน” ที่แยกกันอยู่คนละชั้น ไม่สามารถรวมเข้าด้วยกันได้ แต่ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างคนสองกลุ่มนี้ ในลักษณะ “ทีใครทีมัน” ดังที่เราได้เห็นปรากฏการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นตลอดมาในทางการเมืองไทย ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 จนถึงทุกวันนี้ อีกอย่างหนึ่ง ในกรณีของประเทศไทยที่มีการรัฐประหารในครั้งหลังๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. 2549 และ 2557 ก็มีลักษณะที่พยายามจะรวมขั้วอำนาจเข้าด้วยกันให้ได้ แต่ก็ประสบความล้มเหลวอันเนื่องมาจาก “ลักษณะทางกลุ่มสังคม” ที่ยังมีความแตกต่างกันอยู่มากนั้น การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น(ถ้ามี)ในปี 2561 เราคงจะต้องเผชิญกับศึกสายเลือดระหว่างคนสองกลุ่มนี้เช่นเคย และอาจจะมีลักษณะที่รุนแรงขึ้นที่เกิดขึ้นได้จากการ “แย่งชิงประชาชน” ที่เราได้เห็นภาพความรุนแรงในลักษณะนี้มาตั้งแต่การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2550 นั้นแล้ว ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือนโยบายประชารัฐของ คสช.ที่กำลังมุ่งตรงไปสู่คนยากคนจนอย่างเข้มข้น ถึงขั้นที่ขุนศึกเศรษฐกิจในฝ่ายของ คสช.กล้าประกาศว่า “ปีหน้า(2561)จะไม่มีคนจนในประเทศไทย” ที่แม้จะฟังดูเป็นการชวนเชื่อประโลมโลก แต่ก็มีนัยของการท้าทายกับอดีตกลุ่มอำนาจที่หัวหน้าต้องหลบลี้ไปจากการรัฐประหารทั้งสองครั้งนั้น ยุทธศาสตร์ของทหารอาจจะดูมีข้อได้เปรียบอยู่มาก เพราะเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและสามารถ “บงการ” ให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นได้มากพอควร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะประมาท “ลีลาของนักการเมือง” นั้นได้ โดยเฉพาะจุดอ่อนของทหารที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของโครงสร้างในระบบราชการ ที่มีขึ้นมีลง มีอ่อนมีแข็ง ไม่มั่นคงเสมอไป ในขณะที่ฟากฝ่ายนักการเมืองสามารถเข้าถึงประชาชนได้ดีกว่า ซึ่งอำนาจที่ได้จากประชาชนนั้น “มีความชอบธรรม” และ “แท้จริง” กว่า ในทำนองที่ว่า ทหารอาจจะชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ชนะใจประชาชน