ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
ปีนี้เศรษฐกิจไทยคงโตไม่เกิน 1-1.5% เพราะจากพิษโควิดอาละวาดหนัก จนเศรษฐกิจทรุดหนัก เพราะรายได้จากเครื่องยนต์ที่ทำรายได้หลักกลับชำรุดเสียไป คงเหลืออยู่เฉพาะการส่งออกกับรายจ่ายภาครัฐบางส่วนเท่านั้น
ในส่วนเครื่องยนต์ที่ทำรายได้หลัก เช่นการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างประเทศ และรายจ่ายภาคเอกชนจะติดลบคงไม่สามารถกระตุ้นเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศก็ตาม ก็ยังพอมีมหามิตรที่พัฒนาแล้ว เห็นใจและช่วยเหลือไทยหลายประเทศ
จีน ช่วยวัคซีน ซิโนแวค 1 ล้านโดส
อังกฤษ ช่วยวัคซีน แอสตราเซเนกา 415,000 โดส
ญี่ปุ่น ช่วยวัคซีน แอสตราเซเนกา 1,053,090 โดส
อเมริกา ช่วยวัคซีน ไฟเซอร์ 2.5 ล้านโดส
สวิตเซอร์แลนด์ ช่วยเครื่องมือตรวจหา antigen test 110,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจอีก 102 =ชิ้น
การช่วยเหลือจากมิตรประเทศเหล่านี้ช่วยลดช่องว่างการขาดวัคซีนของไทยไปได้พอดี คงจะช่วยประคองให้สถานการณ์ของโควิดไปได้บ้าง จากการติดเชื้อวันละเกือบ 2 หมื่นราย เสียชีวิตวันละร้อยกว่ารายลงไปได้บ้าง
ในขณะที่การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างประเทศ และการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนติดลบ จึงไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้เกิด GDP เพิ่มขึ้นได้
ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ขยายเวลาการล็อคดาวน์จาก 14 วันจนไปถึงสิ้นเดือนสิงหาคม และเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด เพื่อให้สามารถลดจำนวนหรือควบคุมผู้ติดเชื้อมิให้เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยที่ยังหาเตียงไม่ได้ต้องอาศัยรักษาตัวยู่กับบ้าน ที่ตายไปก็มี ที่ป่วยหนักก็มี รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตตามถนนด้วย คาดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
รัฐบาลได้พิจารณาผู้ที่มีผลงานเด่นทางด้านการบริหารจัดการโควิดและมีแนวทางด้านการเมืองมาช่วยกระทรวงมหาดไทย โดยคัดเลือกผู้มีฝีมือเด่นๆมาเป็นปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง และสับเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัดกันใหม่ คาดว่าจะช่วยให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นได้อีกส่วนหนึ่ง
จึงเป็นความหวังของคนไทยโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคได้เป็นอย่างดี เพราะคัดเอาผู้มีผลงานยอดเยี่ยมเป็นที่ปรากฏให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา