นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายประเทศไทย 4.0 อีกครั้ง โดยตั้งเป้าให้เข้าสู่ยุค 4.0 ภายใน 3-5 ปีนี้ สำหรับภาคเกษตรกรรรมนั้น นโยบายประเทศไทย 4.0 จะเปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการจัดการและเทคโนโลยี แต่รัฐบาลก็ควรจะรู้ว่า “การบริหารจัดการและเทคโนโลยี” เป็นเพียงตัวแก้เรื่อง “ต้นทุนการเกษตร” มิใช่ตัวแก้ปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรรายย่อย รัฐบาลควรรู้ว่า การรวม “ฟาร์มใหญ่” แล้วใช้เทคโนโลยีนั้น เป็นไปได้ในบางพื้นที่เท่านั้น และเกษตรกรรายย่อยไม่มีทุนพอจะใช้เทคโนโลยี การแก้ปัญหาเกษตรกรรายย่อยให้ตรงจุดคือ เลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยว เกษตรเชิงเดี่ยวนั้นอาศัยปัจจัยภายนอกแทบทุกอย่างในการผลิต ต้องนำเข้าและใช้วัตถุดิบจากภายนอก และเกษตรกรยังไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ ต้นทุนส่วนใหญ่จึงมักอยู่ที่วัตถุดิบที่ไม่สามารถผลิตได้เอง และราคาขึ้นอยู่กับกลไกทางตลาด พ่อค้าวัตถุดิบจะเรียกราคาจากเกษตรกรได้ 100% ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้ในทุกฤดูการผลิต ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ ไม่ทำก็เป็นหนี้อยู่เพราะหนี้เก่าออกดอกเรื่อยๆ ทำให้เกษตรกรต้องออกแสวงหาทางทำกินใหม่ๆในเมืองหลวง ส่งเงินใช้หนี้ เป็นหนี้ในระยะยาวทั้งชีวิต ดังกล่าว ทำให้คนไทยมีน้ำใจน้อยลง เพราะสภาวะที่ขาดแคลนเช่นเดียวกัน เกษตรกรต้องรับภาระต่างๆมากขึ้น เพราะพ่อค้าจะเอาแต่ผลผลิตงาม ๆ ชาวนาชาวไร่ก็ต้องซื้อปุ๋ยซื้อยาฆ่าแมลงเพิ่มมากขึ้นเพื่อไม่ให้โดนกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ส่งผลมาที่ประชาชนผู้บริโภคที่ต้องรับสารปนเปื้อนไปเรื่อยๆ ต่อมาก็ป่วย และเข้าโรงพยาบาล ขาดแคลนรายได้ เป็นผลกระทบระยะยาวเช่นเดียวกัน ปัญหาความผันผวนของราคาพืชผลเกษตรกรรมเป็นปัญหาประจำของประเทศไทย ยามที่ราคาพืชผลเกษตรราคาตกต่ำ เกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะเดือดร้อน แล้วความเดือดร้อนของเกษตรกรก็จะส่งผลกระทบถึงรัฐบาล ซึ่งก็ไม่มีรัฐบาลใดเลยแก้ปัญหาที่ฐานราก นั่นคือต้องต้องช่วยมิให้เกษตรกรรายย่อยเป็นทาสของราคาตลาดโลก เกษตรกรรายย่อยต้องเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยว หันมาทำไร่นาสวนผสม ใช้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียง พืชผลเกษตรราคาตกต่ำเสมอ การหวังรายได้ทางเดียวจากพืชเชิงเดี่ยวมีความเสี่ยงสูง แม้ว่าบางช่วงจะได้ราคาดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะได้ราคาต่ำ   เกษตรกรควรย้อนกลับไปดูมรดกภูมิปัญญาในอดีต     การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ปลูกพืชชนิดเดียวเต็มพื้นที่   แล้วก็หวังรอผลผลิตอย่างเดียวนั้น  ถ้าราคามันตกต่ำ   ก็จะขาดทุนป่นปี้   แต่ถ้าแบ่งพื้นที่ปลูกพืชหลาย ๆ อย่างผสมกัน    ก็จะมีผลผลิตตลอดปี   ผลผลิตหลายอย่างราคาต่ำบ้างสูงบ้างถัวเฉลี่ยกัน  ก็ประกันรายได้ไม่ถึงกับขาดทุนเป็นหนี้เป็นสินจนสูญเสียที่ดิน เกษตรกรควรช่วยเหลือตนเอง  โดยปรับรูปแบบการผลิต   เลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยวกันเถิด