แสงไทย เค้าภูไทย
ขณะที่การเลือกตั้ง 61 ยังไม่ชัดเจน แต่ฝ่ายรัฐบาล และกองเชียร์ต่างก็ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบแฝงๆกันแล้ว โดยใช้เครื่องมือทั้งภาครัฐและแนวร่วมสำรวจตรวจสอบหาช่องทางในอันที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหลังเลือกตั้ง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ซุเปอร์โพล” ดำเนินการโดย ดร.นพดล กรรณิการ์ อดีตผู้ก่อตั้งเอแบคโพลของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัน ได้ทำการสำรวจความเห็นของประชาชนในหัวข้อ “พลังเงียบกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ”
แม้จะรู้ว่าเป็นโพลที่เอนเอียงไปทางรัฐบาลคสช.เนื่องจากดร.นพดล เคยเป็นที่ปรึกษารมว.แรงงาน แต่ก็มีผลสำรวจที่น่าสนใจในหลายประเด็น
ประเด็นที่เป็นจุดน่าสนใจที่สุดก็คือ กลุ่มพลังเงียบในสังคมซึ่งผลสำรวจพบว่ามีอยู่ถึง 72.9% ของประชากรสำรวจ 1,134 ตัวอย่าง
แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าเป็นการสำรวจแบบทั่วประเทศ แต่ก็มักจะเข้าใจกันว่า เป็นการสำรวจความเห็นของประชากรสำรวจทั่วประเทศ ซึ่งแท้จริงแล้ว โพลล์ที่มีฐานในกรุงเทพฯ มักจะสำรวจแต่ในกรุงเทพฯ จึงไม่อาจอ้างอิงได้ว่า เป็นตัวแทนของทั้งประเทศ
แต่กระนั้น ก็พอจะประมาณการได้ว่า คนไทยที่มีความคิด ความรู้สึกต่อการเมือง แบบกลางๆ หรือวางเฉยจนกลายเป็นพลังเงียบนั้น มีมากกว่าคนเลือกข้าง
ทำให้เหลือคนที่สนใจหรือฝักใฝ่การเมืองเพียง 27.1% เท่านั้น
ถ้าเอากรุงเทพฯอันเป็นพื้นที่ทำโพลล์ครั้งนี้เป็นหลัก 27.1% นี้ จะเป็นเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย
หากเอาผลการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ รวมถึงสถิติการเลือกตั้ง ส.ก. และ ส.ข.กันแล้ว ปชป.น่าจะได้ 20% ที่เหลือ 7.1% เป็นของเพื่อไทย โดยไม่มีพรรคอื่นสอดแทรก
คงเอาไปวัดกับการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศไม่ได้
และ หรือ หากเอาตัวเลขกลุ่มพลังเงียบไปทาบกับเสียงของคนไทยทั่วประเทศ ก็น่าจะสะท้อนออกมาได้ไม่ถึง 50%
ตัวเลขอาจจะกลับข้างกัน โดยกลุ่มที่สนใจหรือฝักใฝ่การเมืองน่าจะเกิน 70% ขึ้นไป ขณะที่พลังเงียบน่าจะอยู่ที่ 30%
ซึงก็อาจจะไม่เงียบจริง อาจจะมีนักการเมืองพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งอยู่ในใจแล้วก็ได้
เพียงแต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะแสดงความรู้สึกออกมา
โดยเฉพาะภาคอิสาน เหนือและใต้ ที่สองพรรคใหญ่แบ่งกันครองพื้นที่
การที่จะหวังคะแนนเสียงจากพลังเงียบนั้น คงหวังได้เฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น
และแม้รัฐบาลจะได้เปรียบพรรคการเมือง ที่สามารถใช้กลไกของรัฐในการหาเสียงหรือทำกิจกรรมทางการเมืองได้เต็มที่ ขณะที่พรรคการเมืองยังไม่ได้รับการปลดล็อค
แต่เมื่อถึงช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกันจริงๆ พรรคการเมืองเจ้าเก่า ย่อมจะได้เปรียบกว่าพรรคใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่ ซึ่งนายกฯใช้เป็นคำถามข้อหนึ่ง
บทเรียนที่น่าศึกษาก็คือ การตั้งพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ชื่อ “พรรคการเมืองใหม่” ของบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เพื่อลงสนามเลือกตั้งหลังล้มรัฐบาลทักษิณ ได้สำเร็จ
ปรากฏว่า ไม่ได้รับการเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว
ประเด็นเรื่องพรรคการเมืองใหม่ นักการเมืองใหม่ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีตั้งคำถามเชิงเรียกร้องให้คนไทยใช้เป็นตัวเลือกในการเมืองยุคใหม่นั้น "สวนดุสิตโพล" ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,043 คน ระหว่างวันที่ 15-18 พ.ย.
สรุปผลได้ดังนี้ คำถามที่ 1 “วันนี้เราจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่และนักการเมืองใหม่ๆ”
ได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก คือมีเพียงร้อยละ 21.48% คิดคล้อยตามนายกฯ คือระบุว่า คนรุ่นใหม่จะมีแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ ทำให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ขณะที่กลุ่มที่คิดหรือมีความเห็นไปในทางตรงกันข้ามก็มีไม่มากเช่นกัน คือร้อยละ 14.84% ห่างจากกลุ่มแรกแค่ 6.64% เท่านั่น โดยกลุ่มนี้ระบุว่า ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ขอให้เป็นคนดี ไม่โกงกินก็พอ
ที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ คำถามที่ว่า คสช.จะสนับสนุนพรรคการเมืองใดได้หรือไม่ คำตอบคือร้อยละ 34.91 เห็นว่าควรวาวงตัวเป็นกลาง ขณะที่กลุ่มสนับสนุน ที่มีตัวเลขใกล้เคียงกันมากคือ 31.94 เห็นว่าคสช.จะหนุนพรรคใดก็ได้
ประเด็นนี้พวกพรรคการเมืองโวยวายกันไปมากแล้ว เพราะเป็นการเอาเปรียบ โดยเฉพาะการหาเสียง ที่พรรคการเมืองเรียกร้องให้คสช.ปลดล็อคให้สามารถทำกิจกรรมการเมืองได้
มิใช่ให้รัฐบาลหาเสียงฝายเดียว โดยใช้ทั้งโครงการประชารัฐทั้งการแจกเงินสวัสดิการคนจน และการลงพื้นที่ของนายกฯ รวมถึงการใช้เครื่องมือรัฐต่างๆนานาสร้างภาพลักษณ์ให้นายกฯ
และที่น่าสนใจประการสุดท้ายก็คือ ผลงานของรัฐบาลคสช.ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ร้อยละ 30.99% ตอบว่า พอเห็นผลงานบ้าง เป็นแบบค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อย ขณะที่ร้อยละ 22.52% ระบุว่า ในช่วงปีแรกๆ ดี แต่ระยะหลังไม่ค่อยเห็นผลงาน
โพลล์ของสวนดุสิตโพลล์คงจะให้ความชัดเจนได้พอสมควร แม้ว่าการสำรวจความเห็นจากประชากรสำรวจเป็นการสำรวจในเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม
ตัวเลขสัดส่วนที่ตอบคำถามแต่ละข้อ ผลออกมาไม่สูงปรี๊ดเท่ากับของซุเปอร์โพลล์ แสดงถึงการทำโพลที่ไม่ใช่ lopside poll ซึ่งในภาวะเช่นนี้
มีความเป็นไปได้มากที่คนไทยไม่ค่อยให้ความสนใจต่อการเมือง เพราะกังวลเรื่องปากเรื่องท้องมากกว่า
จึงยังมีคนไทยส่วนใหญ่ที่วางเฉยหรือมีความคิดกลางๆ โดยเห็นว่าการเมือง การเลือกตั้งยังเป็นเรื่องไกลตัว
โดยเฉพาะระยะเวลาตามโร้ดแม็พที่ยังไม่ชัดเจน ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นภายในปีหน้าหรือไม่
ทำให้ดูคล้ายกับเป็นพลังเงียบที่ยังไม่รู้ว่าจะเลิกเงียบไปจนถึงฤดูเลือกตั้งหรือไม่