เสรี พงศ์พิศ
www.phongphit.com
ตูน บอดี้สแลม “ฟีเวอร์” เป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่อาจกลายเป็น “ตำนาน” (myth) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเรื่องเล่า เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา มีพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน
สิ่งที่ตูนต้องการสื่อสารคงไม่เพียงแต่ขอให้คนไทยเสียสละคนละ 10 บาท เพื่อจะมีทุนไปช่วยโรงพยาบาล 11 แห่ง เขาพูดเองตลอดการวิ่งว่า อยากให้คนออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพ จะได้ไม่ต้องไปหาหมอไปโรงพยาบาล ซึ่งควรมีไว้ให้คนป่วยที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ปรากฎการณ์นี้จะมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยถ้าได้เรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ คุณตูนและคุณต่างๆ จะได้ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย งบประมาณโรงพยาบาลจะได้ลดลง โรงพยาบาลจะได้น้อยลง หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขและตึกอำนวยการของกระทรวงจะได้น้อยลง (ไม่เพิ่มทุกปีจนเต็มพื้นที่ที่ถนนงามวงศ์วาน) ข้าราชการพนักงานจะได้น้อยลง ซึ่งจะเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า สุขภาพของคนไทยดีขึ้น
เพราะการมีโรงพยาบาลมากมายและดี หมอพยาบาลมีคุณภาพและปริมาณมากพอ ไม่ได้รับประกันว่าสุขภาพของประชาชนจะดี สหรัฐอเมริกาและประเทศร่ำรวยที่เต็มไปด้วยเศรษฐีมีเงิน มีโรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ครบ มีปัจจัยรักษาสุขภาพดี แต่มีคนน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนถึงสองในสามของประเทศ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย
ก็ดีแล้วที่ว่า สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอง อยู่ที่ว่าทำได้หรือไม่เท่านั้น ตำนานที่คุณตูน ควรเน้นจึงไม่ใช่ทุนไปสนับสนุน “โรงพยาบาล” แต่เป็น “สุขภาพ” ต่างหาก ซึ่งจะทำให้เกิดความยั่งยืนและการอยู่ดีมีสุขของคนไทย
และที่วิ่งกัน 55 วันหรือมากกว่า ก็เป็นตัวอย่างของการสร้างสุขภาพอย่างหนึ่ง มีคนออกไปร่วมวิ่งมากมายในเส้นทางกว่าสองพันกิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่อาจเป็นเพียง “ฟีเวอร์” หรือเกาะกระแสเท่านั้น
หน่วยงานต่างๆ ส่งเสริม “5 ส.” หรือหลายสอมานาน ทำอย่างไรให้เกิดมีปรากฎการณ์แบบ “ตูน” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมเรียนรู้ดูแลสุขภาพ ซึ่งควรประกอบด้วย 3 อย่างสำคัญ คือ ลดความเครียด อาหาร และการออกกำลังกาย คนไทยโชคดีที่มีปัจจัยสำคัญทั้ง 3 อย่างเพียงพอ
หนึ่ง สมาธิ คนทั่วโลกกำลังสนใจเรื่องการทำสมาธิ เพราะความเครียดคือฆาตรกรสำคัญที่สุดของคนวันนี้ เป็นยุคสมัยที่คนเครียดด้วยปัญหาสารพัด ทั้งๆ ที่มีทุกอย่างที่น่าจะช่วยให้รื่นเริงบันเทิงใจ แต่ก็ยังเครียด บ้า และฆ่าตัวตายมากกว่าทุกยุคสมัย เป็นยุคที่มีเครื่องมือสื่อสารดีที่สุดง่ายที่สุด แต่คนโดดเดี่ยวมากที่สุด เหงามากที่สุด ประสาทกินมากที่สุด
การทำสมาธิแบบพุทธ ไม่ว่าสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน มีวิธีการต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนับ 40 วิธี เพื่อทำใจให้นิ่ง สงบ ปล่อยวาง “หินมันหนักก็วางลง” อย่างที่หลวงพ่อชาสอน เมื่อปล่อยวางได้ก็ “อโหสิกรรม” และ “แผ่เมตตา” ชิวิตก็น่าจะทุกข์ร้อนน้อยลง ไม่เต็มไปด้วยความความโลภ โกรธ หลง เกลียด อิจฉาว้าวุ่นในใจตลอดเวลา เหมือนฆ่าตัวตายผ่อนส่ง
สอง อาหาร ฝรั่งบอกว่า “กินอะไรก็เป็นอันนั้น” (You are what you eat) โลกวันนี้รู้แล้วว่า ยาดีที่สุด คือ อาหาร โรงพยาบาลดีที่สุด คือ ครัว หมอดีที่สุด คือ ตัวเราเอง
มีข้อมูลงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นคุณค่าของอาหารทุกชนิด หลังๆ นี้มีงานวิจัยเกี่ยวกับอาหารไทย ผัก ผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์และอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โชคร้ายอย่างเดียว คือ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตการปรุง พิษที่มากับความอร่อยและความโลภของทุนนิยมและสังคมบ้าบริโภค แทนที่จะทำให้สุขภาพดี กลับทำให้ป่วยด้วยโรคอ้วน มะเร็ง เบาหวาน และสารพัดโรคร้ายแรง
สาม การออกำลังกาย เป็นกระแสหรือเทรนด์ที่ดีของโลกวันนี้ที่มีตั้งแต่เดิน วิ่ง เต้นแอโรบิก รำมวยจีน มวยไทย ใช้อุปกรณ์ในโรงยิมหรือกลางแจ้ง มีคอร์ส มีครู มีการเรียนรู้อย่างมีหลักวิชา พัฒนามาถึงการแกว่งแขน ยืนดูทีวีที่บ้านก็ออกกำลังกายได้ และมีคุณค่าเกือบเท่ากับการเดินเร็ว ตอบโจทย์และข้ออ้างของคนขี้เกียจออกไปเดินไปวิ่ง หรืออ้างว่าไม่มีเวลา กลับบ้านค่ำ
ทั้ง 3 เรื่องนี้มีข้อมูลมากมายหาได้ง่ายๆ ในอินเทอร์เน็ต ผมเคยป่วยด้วยความดัน ไขมัน เบาหวาน และไทรอยด์ รักษาตัวเองด้วย 3 อย่างข้างต้นนี้เป็นหลักจนหายและเลิกกินยามาจนถึงทุกวันนี้ สรุปจากประสบการณ์ว่า สัดส่วนของ 3 อย่างนี้ ความเครียด 50% อาหาร 30% ออกกำลังกาย 20%
ที่สำคัญ คือ ต้องเริ่มจากการปรับวิธีคิด ต้องเลิกคิดว่า “หมอคือเทวดา ยาคือของวิเศษ” เอาชิวิตไปฝากไว้กับหมอกับยา ไม่ดูแลรักษาสุขภาพด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นอะไรมาก็กินยาหาหมอได้ ไม่ได้บอกว่าหมอและยาไม่สำคัญ แต่ควรกินยาหาหมอเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ฝากชีวิตไว้กับยาอย่างเดียวจนแทบจะกินแทนข้าว ร่างกายถึงได้ทรุดโทรมและหมดแรงไปในที่สุด อย่างเพื่อนคนหนึ่งที่มีทัศนคติแบบนี้ เป็นเบาหวานไม่ดูแลตัวเอง กินตามใจอยาก ปากตามใจท้อง กินยามา 10 ปี ไตวาย ฟอกไตอาทิตย์ละ 2 หน บ่นอยากตายทุกวัน
หลักเศรษฐกิจพอเพียงและหัวใจของศาสตร์พระราชา คือ “พึ่งตัวเองและมีความสุข” ด้วยวิธีการที่ประหยัด เรียบง่าย และได้ประโยชน์สูงสุด สุขภาพดีมาจากการกินเป็นอยู่เป็น กินอยู่พอดี มีข้อมูลวิชาการ ก็จะได้ระบบสุขภาพที่ดี มีภูมิคุ้มกัน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย