ทวี สุรฤทธิกุล การเมืองไทยเป็นการเมืองของชนชั้นนำ “ชนชั้นนำ” (Elite) ในตำรารัฐศาสตร์หมายถึง “กลุ่มคนที่อยู่ในอำนาจระดับสูง” ซึ่งอาจจะเป็นอำนาจทางการเมือง เช่น นักการเมือง ทหาร และข้าราชการ หรืออำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น พ่อค้าและนายทุน หรืออำนาจทางสังคม เช่น พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ และผู้มีอิทธิพล จึงมีความหมายเดียวกันกับ “ผู้นำ” (Leader) ซึ่งเป็นศัพท์ทางการบริหาร นอกจากนี้เรายังมีศัพท์ที่ใช้เฉพาะกับชนชั้นนำที่เป็นผู้ปกครองหรือผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองการปกครองโดยตรง ที่มาจากการกลุ่มคนระดับสูงทั้งหลายเหล่านั้น คือคำว่า Bureaucrats ที่ใช้คำภาไทยว่า “อำมาตย์” หรือ “ชนชั้นปกครอง” ถ้าจะถามว่าประเทศไทยปกครองในระบอบอะไร ตามรัฐธรรมนูญก็ต้องตอบว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ถ้าตอบด้วยข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ตามตำรารัฐศาสตร์ของไทยก็ต้องตอบว่า “การปกครองโดยชนชั้นนำ” หรือ “อำมาตยาธิปไตย” นั่นเอง เพราะตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาจนถึงทุกวันนี้ เรามีแต่ “อำมาตย์” เท่านั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นปกครองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคณะราษฎรในช่วง 2475 – 2490 ซึ่งก็คือการรวมตัวกันของทหารและข้าราชการ แต่ก็มาแยกทางกันภายหลังการรัฐประหาร 2490 จากนั้นทหารก็ครองประเทศมาจนถึง 2516 ที่นักศึกษาประชาชนได้ขับไล่ทหารในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งตอนแรกก็คาดหวังว่าประชาธิปไตยที่ “ประชาชนเป็นใหญ่” กำลังจะเกิดขึ้น แต่แล้วชนชั้นนำที่เป็นปัญญาชนคือผู้นำนักศึกษาก็ไปเอาแนวคิดสังคมนิยมเข้ามา จนทหารต้องกลับมายึดอำนาจคืนในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จากนั้นทหารก็รวมขั้วกับกลุ่มการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ทำให้การเมืองไทยมีความราบรื่นมาระยะหนึ่ง จนกระทั่งทหารมาแตกกันเองอันนำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองใน พ.ศ. 2535 ซึ่งนำมาสู่การปฏิรูปการเมืองที่คาดหวังว่าการเมือง “ภาคประชาชน” น่าจะเกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่แล้วกลุ่มนักการเมืองที่มาจากการกลุ่มทุนก็ฮุบอำนาจไว้ทั้งหมด แล้วปกครองในระบอบ “ทุนสามานย์” กระทั่งทหารตั้งมาจัดการถึง 2 ครั้งใน พ.ศ. 2549 และ 2557 แต่ก็ยังไม่สามารถถอนรากถอนโคนระบอบดังกล่าวนี้ได้ จนกระทั่งคณะทหารคือ คสช.นั้นก็ “อับจนปัญญา” และมีผู้วิเคราะห์ว่าทหารอาจจะต้องใช้ยุทธวิธี “รวมขั้วอำมาตย์” เพื่อที่จะสถาปนาอำนาจของทหารนั้นไว้ให้มั่นคง ภายใต้การสนับสนุนของชนชั้นนำทุกกลุ่ม เมื่อหลายวันก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับนายทหารที่อยู่ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศท่านหนึ่ง ท่านได้ให้ทัศนะในเรื่องการรวมขั้วอำนาจระหว่างชนชั้นนำหรืออำมาตย์ด้วยกันอย่างน่าสนใจ ท่านบอกว่าภายหลังการเลือกตั้ง ทหารมีแนวโน้มว่าจะมีการ “กระชับอำนาจ” ให้แข็งแรงมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งจนถึงภายหลังการเลือกตั้ง โดยมีเหตุผลที่พอสรุปได้ดังนี้ ประการแรก ทหารยังมีความเชื่อว่าในระยะเวลานี้ทหารเท่านั้นที่จะเอื้ออำนวยหรือทำให้เกิด “ความมั่นคง” ได้แต่เพียงองค์กรเดียว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สังคมไทยยังมีความแตกแยกและขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ เพราะถ้าหากให้ฝ่ายนักการเมืองเข้ามาควบคุมดูแลประเทศก็จะเข้าอีหรอบเดิม คือจะต้องเกิดความวุ่นวายทางการเมืองต่อเนื่องตามมาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทหารจึงต้องวางกลไกในการควบคุมไว้ในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาจนถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และคาดว่าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทหารคงจะระดมกลไกของรัฐทั้งภาคราชการและมวลชนออกมากระชับอำนาจดังกล่าวนั้นให้มากขึ้นไปอีก ประการต่อมา ทหารก็ตระหนักดีว่าความมั่นคงทางการเมืองในระยะยาวนั้นคงจะพึ่งทหารเพียงองค์กรเดียวไม่ได้ หรือถ้าเกิดว่าชนชั้นนำในภาคการเมืองสามารถ “จับมือ” กันได้ เช่น หลังเลือกตั้งมีการเสนอชื่อนักการเมืองด้วยกันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็จะสะเทือนถึงฐานะความมั่นคงทางการทหารและของประเทศด้วย เพราะทหารไม่เชื่อว่านักการเมืองจะสามารถ "สมานสามัคคี" กันไปได้อย่างยั่งยืน เพียงแต่เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวในการประท้วงทหารที่แสดงความ “รังเกียจ” นักการเมืองจนไม่มีที่ยืนในทางการเมือง ทั้งนี้ก็ต้องคอยดูบรรยากาศในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งว่าจะออกมาในรูปแบบใด ประการสุดท้าย จึงมีความเป็นไปได้ว่าทหารจำเป็นต้องกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองหลายๆ กลุ่ม แม้กระทั่งกับกลุ่มการเมืองเก่าแก่ หรือกลุ่มการเมืองทุนสามานย์ เพราะลำพังกลุ่มการเมืองที่ทหารคิดจะจัดตั้ง หรือกลุ่มการเมืองที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนทหาร ก็ไม่น่าจะมีพลังอำนาจพอที่จะควบคุมมวลชนในทุกพื้นที่ของประเทศได้ แม้ทหารพยายามจะใช้ “ประชารัฐ” สู้กับ “ประชานิยม” แต่ผลที่ได้ในความรู้สึกของมวลชนมีความแตกต่างกัน ในเวลาอันสั้นที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้านี้ทหารอาจจำเป็นที่จะต้องวางยุทธศาสตร์ในการ “ผูกมัด” นักการเมืองกลุ่มต่างๆ ไว้เป็นการ “ชั่วคราว” ไปก่อน ในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์เชื่อว่าทหารจะประสบความสำเร็จได้ยากมาก ทั้งนี้นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังจะสร้าง “ปมปัญหา” ไว้ให้แก่ระบบการเมืองไทยในระยะต่อไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะ “การสร้างประชาธิปไตย” ที่ยังคงเป็นความหวังอัน “ริบหรี่” กันต่อไป เพราะท่าน “หวงอำนาจ” ไม่ยอมเล่นกับลูกชาวบ้าน