สมบัติ ภู่กาญจน์
ขณะนั่งรอเวลา ว่าโอกาสของประชาชนคนไทย ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองอีกครั้ง จะมาถึงเมื่อไร? โดยใครและด้วยวิธีการอย่างไรแค่ไหน?
ผมก็มีแนวคิดในมุมมองการเมืองอีกเรื่องหนึ่ง มาเพิ่มพูนความรู้ความคิดให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา
เรื่องราวนี้มาจากข้อเขียนของ ‘คึกฤทธ์ ปราโมช’ ครูผู้สร้างปัญญาให้แก่ผมและคนไทยอีกมากมายในอดีต ที่ได้เขียนความคิดเหล่านี้ไว้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2518
ซึ่งสถานการณ์และบรรยากาศที่ทำให้เกิดข้อเขียนนี้ ผมจะนำเสนอเป็นข้อสังเกตุบ้างคำอธิบายบ้าง ไปเรื่อยๆ ขณะที่ถ่ายทอดเรื่องราวไป
ในช่วงปลายปี 2516 ถึงตลอดปี 2517 อาจารย์คึกฤทธิ์ต้องหยุดงานเขียนไปนานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (ด้วยเหตุผลใดผมจะเล่าในตอนหลัง) เพิ่งจะได้กลับมาเริ่มเขียนใหม่เมื่อต้นปี 2518 ในกลุ่มข้อเขียนที่รวมถึงเรื่องนี้ ที่อาจารย์คึกฤทธิ์เริ่มเรื่อง โดยมุ่งเป้าเข้าประเด็นไว้ดังนี้
******** ********
“ วันนี้ผมจะนำเรื่องของนักคิดต่างประเทศ ที่เขาพูดกันถึงเรื่องอำนาจในทางการเมือง หรืออำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งออกจะน่ารู้น่าฟัง มาเล่าสู่กันฟังในที่นี้ ที่อาจจะต้องใช้เวลาในการเขียนต่อเนื่องสักสองหรือสามวัน ”
คำเกริ่นนำที่ต้องบอกแม้กระทั่งว่า “ขอเวลาเขียนต่อเนื่องสักสองสามวัน” นั้น ทำให้ผมต้องขอหมายเหตุไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่า ในอดีตนั้น การนำเสนอข้อคิดหรือความเห็นในสังคมไทย ผู้นำเสนอนิยมเขียนลงในหน้าหนังสือพิมพ์ให้คนอ่าน ด้วยความมั่นใจในความคิดของตน ว่า ตนเป็นใครและผู้อ่านเป็นใคร? ซึ่งบวกกับความสามารถ ที่ผู้นำเสนอจะต้องตระหนักว่า ความรู้ที่ตนนำเสนอนั้น แม้ว่าจะน่ารู้แค่ไหน แต่ถ้าเขียนไม่เป็นเขียนไม่ดีหรือเขียนยาวอ่าน(เข้าใจ)ยาก จนคนธรรมดาสามัญไม่เกิดความสนใจที่จะติดตามอ่านแล้ว ผู้เขียนที่ดีก็ควรจะต้องคำนึงถึงและพึงหลีกเลี่ยงด้วย พฤติกรรมและสภาพการณ์ในอดีตเหล่านี้ ทุกวันนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้จาก ความคิดเห็นในปัจจุบัน เราจะพบได้ทุกแห่ง หลายความเห็นเน้นแต่เชิงเร้าอารมณ์หรือเสริมพฤติกรรมพฤติการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก หรือไม่ก็เป็นความเห็นเชิงทฤษฎีเหมือนที่เรียนกันในห้องเรียนมากกว่าความเห็นที่จะพูดคุยกันทั่วไปในที่สาธารณะ เพราะผู้เขียนดูจะมุ่งแต่ความคิดเห็นของตนเป็นหลัก โดยไม่คำนึงนักว่าผู้อ่านจะมีอารมณ์ร่วมในการรับรู้ด้วยหรือไม่เพียงใด - เหตุผลเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ผมพยายามขุดคุ้ยข้อเขียนของอาจารย์คึกฤทธิ์มาเพิ่มการเรียนรู้ให้กับท่านผู้อ่านอีกครั้งในยุคนี้ ดังเช่นงานชิ้นนี้ ที่ขอเชิญติดตามกันต่อไปครับ
“ ทัศนะแรกเป็นของเบอร์แทรนด์ รัสเซ็ล นักปรัชญาของอังกฤษ ผู้ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อไม่นานนัก (หมายเหตุ; ไม่นานของขณะที่เขียนคือนับจากปี 2518)
เบอร์แทรนด์ รัสเซ็ล เห็นว่า มนุษย์เป็นผู้ใฝ่หาอำนาจ และอำนาจนั้นเป็นหลักขั้นพื้นฐานของสังคมศาสตร์ เช่นเดียวกับที่พลังงานเป็นหลักขั้นพื้นฐานของวิชาฟิสิคส์ เมื่อเป็นเช่นนี้ กฎเกณฑ์ต่างๆในทางสังคม ก็จะแสดงออกได้โดยสมมติแห่งอำนาจเท่านั้น
ในขั้นแรก รัสเซ็ลเห็นว่า การแยกอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นอำนาจทางเศรษฐกิจ ออกไปศึกษาหรือคำนึงถึงเป็นต่างหากไปจากอำนาจในสังคมนั้นเป็นการกระทำที่ผิด และอาจทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวได้
รัสเซ็ลมีความเห็นว่า รากฐานแห่งอำนาจนั้นมาจากการศึกษา และการศึกษาแบบเผด็จการ(authoritarian education)ซึ่งได้ใช้กันมานแล้วในเมืองไทยนั้น มีแต่จะสอนให้เด็กเกิดอุดมคติในเรื่องอำนาจ กล่าวคือ สอนให้เด็กแลเห็นความสบายต่างๆในการมีอำนาจ ทำให้เด็กต้องการที่จะมีอำนาจ และมุ่งหวังอำนาจเป็นอุดมคติแห่งชีวิตและการกระทำทั้งปวง นอกจากนั้นรัสเซ็ลยังชี้ให้เห็นว่า การศึกษาแบบเผด็จการนั้นทำให้เกิดทั้งคนที่เป็นทาสและเป็นนาย เพราะการศึกษาแบบนี้ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ออกคำสั่งและผู้ที่รับคำสั่ง
เรื่องนี้ ก็น่าคิดสำหรับเมืองไทย เพราะถ้ารัสเซ็ลพูดถูก เราก็เป็นสังคมที่มีประชาธิปไตยเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ขณะเดียวกัน เราก็เป็นสังคมที่มีสัญชาติญาน และขนบธรรมเนียมประเพณีทางเผด็จการ อันเกิดจากการศึกษาที่ตกทอดลงมาหลายยุคหลายสมัย
ส่วนปัญญาชน นักบริหาร และนักการเมืองนั้น ต่างก็มีหน้าที่และขอบเขตของตนในโครงสร้างของสังคม ซึ่งรัสเซ็ลมีความเห็นว่า “ปัญญาชนนั้นเป็นทายาททางมโนธรรมของพระ(หรือหมอผี)” ในสมัยที่วิชาความรู้และเวทมนตร์คาถา อันทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์นั้นยังมีผู้รู้เป็นจำนวนน้อย ด้วยเหตุนี้ ปัญญาชนในสังคมที่มีการศึกษาแพร่หลายกว้างขวาง จึงไม่มีใครนับถือยำเกรง เป็นแต่เพียงลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น
รัสเซ็ลพูดไว้น่าฟังจริงๆว่า “ความนับถือที่คนให้แก่ผู้มีความรู้นั้น มิได้ให้กันเพราะความรู้อันแท้จริง แต่ให้เพราะเชื่อว่า ผู้มีความรู้นั้น มีอำนาจในทางขลังเท่านั้น”
ถ้าใครยังสงสัยในความจริงข้อนี้ ก็ขอให้ดูหลักฐานแห่งความจริงนี้ ซึ่งมีอยู่รอบๆตัวเราในเมืองไทยนี้เถิด
ส่วนหนึ่ง เราก็นับถือเจ้านับถือผี ซึ่งเป็นเรื่องของขลังและเวทมนตร์คาถาโดยตรง แต่บางครั้ง เราก็นับถือผู้มีความรู้ เช่นพระภิกษุบางรูป โดยที่มิได้นับถือเพราะความรู้ของท่าน แต่เพราะเชื่อว่า “ท่านมีอำนาจทางจิต” สามารถทำให้เรามีเงินทองถูกหวยรวยทรัพย์ได้ ที่สำคัญก็คือเชื่อว่า ท่านสามารถดลบันดาลให้เรามีอำนาจปกครองคนอื่นได้
นายทหารนายตำรวจชั้นนายพล ตลอดจนรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีในเมืองไทย ชอบขี่รถเก๋งในวันหยุดราชการ หรือในยามค่ำคืนไปหาหลวงพ่อต่างๆ หรือไปต่างจังหวัดก็เพื่อเหตุนี้ ขอย้ำอีกทีว่า เพราะเชื่อว่า ท่านสามารถบันดาลให้ตนอยู่ในฐานะ “ผู้ออกคำสั่ง” ได้เรื่อยๆไป
บางท่านออกไปหาพระด้วยความหวังว่าจะได้อาศัยอิทธิฤทธิ์ของท่าน ให้ ‘ออกคำสั่ง’ได้ถูกต้องเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง แต่ก็ยัง ‘ออกคำสั่ง’อยู่นั่นเอง
ข้อเขียนตอนแรกนี้ยังไม่จบ ใครอ่านแล้วสนใจ ขอความกรุณาติดตามต่อไป นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง(ที่ยังไม่จบ)ของแนวคิดแรก ซึ่งสิ่งที่อาจารย์คึกฤทธิ์พยายามนำเสนอยังมีอีกสองแนวคิด ให้เปรียบเทียบกัน
การเมืองยังมีมุมมองที่น่าคิดน่าฟังอีกเยอะครับ ไม่ได้มีแค่ประชาธิปไตย- การเลือกตั้ง- นักการเมือง- ประชาชน- ทหาร-หรือการโกงการทุจริตเท่านั้นหรอกครับ
นั่งว่างๆไม่รู้จะทำอะไร หรือทำอะไรไม่ได้, ก็ฟังไว้เถิด อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งโง่อยู่เฉยๆ!