เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 จบลงเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา นับเป็นการประชุมครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งที่จีนประกาศ “ยุคใหม่” ด้วยจุดยืนและยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า ต้องการยืนหยัดเป็นสังคมนิยม “แบบจีน” และทันสมัยในเวลาเดียวกัน ที่น่าสนใจสำหรับนานาชาติ คือ บทบาทของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ซึ่งได้ถูกยกขึ้นทำเนียบผู้นำสำคัญต่อจากประธานเหม๋าและเติ้ง เสี่ยว ผิง ในปาฐกถากว่า 3 ชั่วโมงเปิดประชุมสมัชชา เขาได้ประกาศแนวคิดและแนวปฏิบัติของจีนใน 5 ปีข้างหน้า มีประเด็นที่น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ยุคแรกของประธานเหม๋า ประมาณ 30 ปีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองถึง 1978 สิ้นสุดปฏิวัติวัฒนธรรมและเริ่มยุคสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยว ผิง จากนั้นมาถึง 2017 ก็นับได้อีก 30 ปี เป็นยุคของสี จิ้น ผิง ธนาคารโลกยกย่องให้จีนเป็นประเทศตัวอย่างของการขจัดปัญหาความยากจน ตั้งแต่ปี 1980 ถึง 2015 จีนลดความยากจนลงได้ถึงร้อยละ 94 โดยถือเอาเกณฑ์ยากจนอยู่ที่ต่ำกว่า 1.9 เหรียญสหรัฐต่อวัน แต่ธนาคารโลกก็ มีข้อสังเกตด้วยว่า ความยากจนและความเหลื่อมล้ำไปด้วยกัน บางประเทศลดได้ทั้งสองอย่าง บางประเทศลดความยากจนแต่ไปเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมชนบท ซึ่งเป็นกรณีของจีน ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ก็ตระหนักในเรื่องนี้และมีแนวทางที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความสมดุลมากขึ้นในการพัฒนา และหนึ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ การกระจายอำนาจ ยินยอมให้เป็นประเทศเดียวสองระบบ แต่อำนาจอธิปไตยแห่งชาติจีน (เดียว) ละเมิดมิได้ จีนเป็นประเทศที่มีมณฑลและเขตปกครองต่างๆ ที่บริหารงานด้วยตนเอง ภายใต้การกำกับดูแลจากรัฐบาลกลางและพรรคคอมมิวนิสต์ ส่งเสริมให้เผ่าพันธุ์คนพื้นเมืองในแต่ละเขตรักษาวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง เพราะเห็นว่าเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคม แนวคิดตรงกันข้ามกับยุคปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-1976) ที่พยายาม “ทำลาย” วัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ไม่สำเร็จ ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสริม “ประชาธิปไตย” ทั้งในฮ่องกงและไต้หวัน (ที่จีนถือว่าเป็นเขตปกครองของตนเอง) รวมทั้งใช้เศรษฐกิจทุนนิยมที่เป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะไม่มีใครคิดว่า จะมี “เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม” (Socialist Market Economy) เพราะเป็นสองแนวคิดที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่จีนและประเทศสังคมนิยมอย่างเวียดนามและลาวก็แสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้และดูจะดีไม่น้อยอีกด้วย ที่สำคัญ จีนส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมในแทบทุกด้าน เพื่อไปรับใช้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เราจึงเห็นเรื่องแปลกใหม่ระดับโลกอยู่ตลอดเวลาจากเมืองจีน ไม่ใช่แต่ “อาลีบาบา” แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการขนส่ง อุตสาหกรรม การค้า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ การเมืองแบบสังคมนิยมจีนดูจะทำให้การพัฒนาแบบบูรณาการทำได้ไม่ยากนัก นโยบายดี มี “คำสั่งที่ศักดิ์สิทธิ์” มีงบประมาณพร้อม อะไรๆ ก็ดูจะเดินไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องถกเถียงยืดเยื้อยาวนานอย่างในหลายประเทศ อย่างกรณีนโยบาย “คืนสู่ธรรมชาติ” หรือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จีนพูดจริง ทำจริง วางเป้าหมายชัดเจนว่าจะลดมลภาวะลงได้เท่าไรภายในเมื่อไร ลดและเลิกการใช้ถ่านหินในการผลิตพลังงาน กำหนดให้เลิกการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2040 จีนกำลังกลายเป็นผู้นำด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะประชากรจีน 1,300 ล้านคน นำหน้าใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งกันออกสู่ตลาด ส่วนใหญ่ผลิตในจีน ราคาก็ค่อยๆ ถูกลง บริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตรถยนต์ต่างก็ร่วมมือกับจีนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขายให้คนจีน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 30 ของตลาดโลก โรงงานขนาดยักษ์ผลิตแบตเตอรียุคใหม่ก็เกิดขึ้นที่จีน ซึ่งจะทำให้คนหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพราะเก็บไฟจากหลังคาบ้านไว้ใช้เองได้โดยไม่ต้องใช้ “ไฟหลวง” อีกต่อไป ถูกกว่า สะดวกกว่า และจีนก็เป็นประเทศที่ผลิตโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดและถูกที่สุด ส่งไปขายทั่วโลกอีกด้วย เรื่องที่น่าจะสำคัญที่สุดที่จีนพยายามทำ เพราะถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนา คือ การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น นโยบายกำจัดการโกงกินของประธานาธิบดีสี ทำให้ข้าราชการกว่า 1.3 ล้านคนทุกระดับ (ทั้ง “เสือ” และ “แมลงวัน”) ถูกกวาดล้างดำเนินคดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รัฐบาลไทยทุกสมัยรู้จักเมืองจีนและผู้นำจีนเป็นอย่างดี รู้นโยบาย ยุทธศาสตร์บทเรียนของจีน อยากทำหลายอย่างแต่ทำไม่ได้ เช่น การขจัดการโกงกินบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก แต่ทำแบบ “สี” (จิ้นผิง) คือ ทำให้ถึงรากถึงโคน ถ้ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนทำ 3 อย่างที่เมืองจีนวันนี้ทำ เมืองไทยก็น่าจะเจริญพัฒนาได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ คือ 1) กำจัดคอร์รัปชั่น 2) แก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ และ ๓) ปฏิรูประบบราชการ แก้กฎหมาย กระจายอำนาจ รัฐบาลนี้บอกว่ากำลังทำอยู่ทั้งสามเรื่อง แต่ในเวลาเดียวกันก็เพิ่มอำนาจให้ข้าราชการ หรือไม่ก็ถูกหาว่ารับใช้นายทุน ปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อไป ประมาณว่า “ความเหลื่อมล้ำจะขจัดความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งน่าสงสัยว่า “ความเหลื่อมล้ำจะสร้างความเท่าเทียม” ได้อย่างไร แม้ไม่เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เมืองไทยก็คล้ายกับเมืองจีนในเรื่องการใช้อำนาจ ขาดแต่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และฝีมืออย่างเติ้ง เสี่ยว ผิง และสี จิ้น ผิง เท่านั้น