เสรี พงศ์พิศ
www.phongphit.com
พระมหาชนก เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงคุณค่าหาที่เปรียบมิได้ เป็นมรดกสำคัญที่พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสว่า “หนังสือเรื่องนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า”
“พระมหาชนก” มาจากเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก ชาดกสิบชาติสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะมาประสูตรเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวที่พระองค์ท่านได้ทรงค้นคว้าในพระไตรปิฎกและพระสุตตตันตปิฎก และทรงนำมาพระราชนิพนธ์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่ “ความเพียรอันบริสุทธิ์” ที่เป็นคำสอนสำคัญที่สุดในบทสนทนาระหว่างพระมหาชนกกับนางมณีเมขลาเทวดากลางทะเล ที่พระมหาชนกกำลังว่ายน้ำอยู่หลังจากที่สำเภาที่ทรงเดินทางไปสุวรรณภูมิแตก คนอื่นๆ ที่อยู่บนเรือมัวแต่ร้องไห้คร่ำครวญอ้อนวอนเทวดาให้ช่วย ตายหมด
พระมหาชนกลอยคออยู่ในทะเล 7 วัน 7 คืน นางมณีเมขลามาเห็นก็กล่าวว่า "ใครหนอ พยายามว่ายน้ำในมหาสมุทรอันแลไม่เห็นฝั่งอยู่เช่นนี้ ท่านเห็นประโยชน์อะไร จึงได้พยายามว่ายอยู่อย่างนี้ ?"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เราได้พิจารณาเห็นธรรมเนียมของโลก และผลของความพยายาม จึงได้พยายามว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรอันแลไม่เห็นฝั่งนี้"
นางมณีเมขลาถามอีกว่า "ฝั่งของมหาสมุทรไม่ปรากฏแก่ท่าน ถึงท่านจะพยายามว่ายน้ำไป ก็จะต้องตายเสียก่อนที่จะถึงฝั่งแน่แท้"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เมื่อบุคคลทำความเพียรอยู่ ถึงจะตายไปก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นที่ติเตียนของบิดามารดาวงศาคณาญาติตลอดถึงเทพยดาทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เมื่อบุคคลตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถแล้ว ย่อมจะไม่เสียใจภายหลัง"
นางมณีเมขลากล่าวว่า "การพยายามทำงานอันใดแล้วยังไม่สำเร็จ แต่เกิดอุปสรรคถึงกับเสียชีวิตไปก่อน ก็ไม่ควรทำความพยายามนั้นเลย เพราะความพยายามที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่า"
พระมหาชนกตอบว่า "ผู้ใดรู้ว่าการงานที่ทำไปจะไม่สำเร็จ แล้วไม่รีบหาทางป้องกันภัยอันตราย บุคคลนั้นชื่อว่าไม่รักษาชีวิตตน ถ้าบุคคลนั้นละความเพียรเสีย ก็จะได้รับผลแห่งความเกียจคร้านของตน บางคนได้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน แล้วตั้งใจทำงาน ถึงการงานจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เห็นผลงานประจักษ์แก่ตน
ท่านจงดูคนทั้งหลายที่มาในสำเภาเดียวกับเราเถิด คนพวกนั้นพากันย่อท้อต่ออันตราย ไม่พยายามว่ายน้ำจนสุดความสามารถก่อน จึงพากันจมน้ำตายในมหาสมุทรทั้งสิ้น เหลือแต่เราผู้เดียวที่สู้ทนว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรอยู่ถึง 7 วันเข้าแล้ว
บัดนี้ เราได้เห็นผลของความเพียรนั้นแล้ว คือเราได้เห็นท่านซึ่งเป็นเทวดาที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ท่านจะมาบอกว่าความพยายามของเราสูญเปล่าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นเราจักพยายามว่ายน้ำอีกต่อไป จนกว่าจะถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรให้จงได้"
คำสอนสำคัญของ “พระมหาชนก” มีอย่างน้อย 2 ประการ คือ “ความเพียรอันบริสุทธ์ทำให้เกิดสิ่งอัศจรรย์” ทำให้รอดจากภัยอันตรายและประสบความสำเร็จ และการทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น “แม้ไม่เห็นฝั่งก็ยังว่ายต่อไป” ทำให้คิดถึงมหาตมะคานธีที่สอนนักการเมืองด้วยเรื่องเล่าจาก “มหาภารตะ” ที่อรชุนลังเลที่จะออกรบ พระกฤษณะทรงแปลงเป็นสารถีรถม้าของอรชุนได้ “สนทนา” กับอรชุนอย่างยาวนาน
บทสนทนาดังกล่าว คือ “ภควัทคีตา” อันเป็นคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ของฮินดู เป็น “บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า” ที่สอนให้คนทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ กระทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ปรารถนาความสำเร็จ หรือกลัวความพ่ายแพ้ “จงลงมือกระทำโดยไม่ปรารถนาผลลัพธ์และโดยไม่เอาตัวเองไปพัวพันกับบ่วงกรรม”
กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า การกระทำความดีจักไม่ทำให้ใครขึ้นสวรรค์ไปได้ ถ้าหากว่าความปรารถนาสวรรค์นั้นเป็นแรงจูงใจเพียงประการเดียว ความปรารถนาทำให้มีการเกิดใหม่ หากยังมีความปรารถนาใดคงอยู่เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จักกลับไปสู่ชีวิตในอีกชาติภพหนึ่ง (คือยังไม่หลุดพ้นหรือไปนิพพานในทางพุทธศาสนา)
มหาตมะคานธีสอนนักการเมืองอินเดียด้วยเรื่องราวจากมหาภารตะนี้ว่า อย่ามัวแต่คิดคำนวณว่าตนจะได้ (ประโยชน์) อะไร จะชนะหรือไม่จึงค่อยลงมือทำ แต่ให้ทำเพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดี งาม เป็นหน้าที่ตามพระประสงค์แห่งพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าเรารักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จริง ควรนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ โดยเฉพาะที่ว่าด้วย “ความเพียรอันบริสุทธิ” และ “แม้ไม่เห็นฝั่งก็ยังว่าย” ซึ่งขาดหายไปในโลกปัจจุบัน อันเป็นสังคมบริโภคที่ต้องการรวยลัด รวยเร็ว อยากได้ของฟรี อยากได้อะไรแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรง สังคมที่แข่งขันและวัดกันด้วยภาพลักษณ์ อำนาจและผลประโยชน์
พระมหาชนก คือ คำสอนที่สะท้อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่รู้จักกันดี ที่ท่องได้แต่ไม่ค่อยทำกัน เพราะเป็นอะไรที่สวนกระแส และคนที่มี “ปัญญา ความกล้าหาญ และความเพียรทน” เยี่ยงพระมหาชนกเท่านั้นจึงจะทำได้