ทวี สุรฤทธิกุล “เราต้องอยู่ช่วยกันไปให้ได้จนจบ แม้เราจะเบื่อขี้หน้ากันแล้วก็ตามที” เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ในรายการของช่องทีวีดาวเทียมช่องหนึ่ง ในประเด็นที่เกี่ยวกับข่าวการยุบสภาและความระหองระแหงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งผู้ดำเนินรายการดูจะกระเหี้ยนกระหือรือมาก ๆ ย้ำถามรอบแล้วรอบเล่าว่า รัฐบาลนี้กำลังใกล้จะพังจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งผู้เขียนก็พยายามตอบว่า คงไม่ได้จะพังง่าย ๆ และรัฐบาลนี้น่าจะยังอยู่ครบเทอม แล้วจึงจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ตอนที่ตั้งรัฐบาลนี้เมื่อกลางปี 2562 หลายคนแม้กระทั่งตัวผู้เขียนนี้ด้วยคนหนึ่ง ปรามาสรัฐบาลนี้ว่าน่าจะอยู่ได้ยากลำบาก และอาจจะแตกแยกพังครืนในอีกไม่นาน ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นรัฐบาลที่ผสมกันขึ้นอย่างยากลำบาก และดูส่วนผสมที่ไม่ค่อยจะลงตัว เหมือนว่ามาร่วมกันเป็นรัฐบาลด้วยภาวะจำยอม หรือเพื่อเพียงให้ได้มีอำนาจเป็นรัฐบาลนั้นเสียก่อน แล้วค่อยขยับขยายหรือหาทางเอาชนะกันต่อไป แต่พอผ่านครึ่งปีไป ขึ้นปีใหม่ 2563 รัฐบาลนี้ก็เจอแจ็คพอท แต่เป็นแจ็คพ็อทแบบที่ทำให้รัฐบาลนี้ต้องอยู่ต่อ นั่นก็คือโรคร้ายโควิด-19 ที่ช่วยกระชับอำนาจของนายกรัฐมนตรีให้เข้มแข็ง คสช.ได้ฉวยโอกาสนี้รวบอำนาจเข้ามาไว้ในตัวรัฐบาล พระราชกำหนดฉุกเฉินถูกขยายเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับอำนาจพิเศษของนายกรัฐมนตรีก็เพิ่มมากขึ้น ๆ ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลหมดบทบาทไป รวมถึงนักการเมืองทั้งหลายที่หมดราคาสิ้นความหมายไปเช่นกัน ทำให้รัฐบาลแบบ “หัวเดียวกระเทียมโทน” ที่นำโดยพลเกประยุทธ์เพียงลำพังนี้ “ถูลู่ถูกัง” เอาตัวรอดผ่านพ้นวิกฤติทางการเมืองและภัยทางสภามาได้โดยตลอด ดังนั้นเมื่อรัฐบาลนี้ได้ผ่านเวลามาครึ่งทาง ด้วยอุปสรรคที่ว่าแรง ๆ ได้เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งในและนอกสภา แต่ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความระคายเคืองให้กับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ได้ ก็คงจะทำให้เกิดความมั่นใจในหมู่ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีนั้นได้ว่า ไม่มีใครสามารถโค่นล้มเขาได้จริง ๆ แต่นั่นก็คือความประมาทของผู้นำในทุกยุคทุกสมัย เพราะเมื่อไม่มีสิ่งภายนอกมาล้มรัฐบาลได้ ก็อย่าลืมว่ายังมีสิ่งภายใน ซึ่งก็คือตัวผู้นำและบรรดาผู้ร่วมเสพอำนาจนั่นเอง จะเป็นผู้ทำลายโค่นล้มตัวเองและรัฐบาลของพวกเขา ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งการโค่นล้ม “ตามธรรมชาติ” และ “ผิดธรรมชาติ” จากอาการของผู้ดำเนินรายการที่เฝ้าสอบถามว่ารัฐบาลนี้จะพังเมื่อไร ผู้เขียนก็พอจะเดาได้ว่าผู้ดำเนินรายการคนนี้คงจะพูดแทนคนไทยอีกหลายคน ที่เบื่อหน่ายหรือ “รำคาญ” ผู้นำและนักการเมืองในขณะนี้ ที่ออกมาเล่นละครเรียกเรตติ้งกันอย่างวุ่นวาย ในขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีก็เผลอแสดงความเกรี้ยวกราดตามนิสัยดั้งเดิมออกมาเป็นระยะ พร้อมกันกับที่นักการเมืองแสดงความเหิมเกริม ทำอะไรทีที่หมิ่นเหม่กฎหมายก็ไม่ผิด ค้าผงก็กลายเป็นแป้ง นักการเมืองบางคนก็ชอบทะเลาะกับตำรวจบ้าง หมอบ้าง เพื่อสร้างข่าวให้มีตัวตน รุ่นพี่นายกฯ เพื่อนนายกฯ น้องนายกฯ ก็มีเรื่อหมองมัว แต่ก็ไม่ใครทำอะไรได้ ในกรรมาธิการงบประมาณก็เอา ส.ส.ที่ถูกพักงานเข้ามาเป็นกรรมาธิการ รวมถึงนักการเมืองสัมภเวสีที่เร่ร่อนหาเงินหาตำแหน่งไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่ง ส.ส.ฝ่ายค้านเองกีปัญหาอยู่ไม่น้อย เหล่านี้ล้วนแต่สร้างความเบื่อหน่ายเกลียดชังในตัวผู้นำและนักการเมืองให้มีมากขึ้น จนกระทั่งได้เพิ่มความรู้สึกนี้ในหมู่ประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็นำมาซึ่งความรู้สึกที่ว่า “เมื่อไหร่รัฐบาลนี้ และนักการเมืองเหล่านี้จะมีอันเป็นไปเสียที” ดังกล่าว ผู้เขียนลองย้อนไปอ่านบทความเก่า ๆ ที่เคยวิเคราะห์รัฐบาลนี้ไว้ ก็บังเอิญไปเจอที่เคยเขียนไว้ว่า “ทหารและรัฐบาลของทหารนี้มีบุญ” โดยบทความนั้นเขียนไว้เมื่อเดือนเมษายน 2563 ในตอนที่โควิดระลอกแรกกำลังกระหน่ำประเทศไทย ในขณะที่คอลัมนิสต์บางคนบอกว่านี้แหละคือหายนะของรัฐบาล เพราะ “ห่า” กำลังลงมาทำลายรัฐบาล ในความหมายที่ว่าโรคร้ายนี้ก็คือ “ห่า” เหมือนกับอหิวาตกโรคนั่นเอง แต่ผู้เขียนกลับมองว่านี่คือ “โอกาส” ของรัฐบาล ที่จะได้แสดงฝีมือในการทำงาน และที่สำคัญโรคโควิดนี้จะทำให้คนกลัวตายเป็นอย่างมาก จนกระทั่งลืมความตายทางการเมือง ที่รัฐบาลชุดนี้ได้แพร่เชื้อร้ายไว้เช่นเดียวกัน รัฐบาลนี้มีบุญเรื่อยมาตั้งแต่ตอนที่ได้รับฉันทานุมัติจากม็อบ กปปส.ให้ทหารเข้ามาทำการยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นแล้ว ทั้งยังเล่นละครได้เก่ง มีเพลงประกอบละครออกมาเรียกความนิยมจากแฟนคลับได้เรื่อย ๆ ทั้งเพลง “ขอเวลาอีกไม่นาน” “พรุ่งนี้ต้องดีกว่า” ฯลฯ ที่ชื่อเพลงก็บอกอยู่แล้วว่าจะขออยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่บรรดาแฟนคลับก็หลงมัวเมาเป็นปลื้ม ลืมความหลอกลวงนั้นเสียสิ้น ครั้นพอผ่านพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปแล้ว ก็ยิ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะมีบุญมากขึ้น กระทั่งมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ผู้คนก็ยังเป็นปลื้มและหลับหูหลับตาเลือกพรรคพลังประชารัฐ (ย่อว่า พปชร. ที่บางคนแปลว่า พลพรรคที่มีประวัติไม่ดีและไม่เรียบร้อย) ภายใต้สโลแกนประโลมใจให้เลือกพรรคนี้ว่า “รักความสงบจบที่ลุงตู่” จากนั่นก็ร่วมเสวยบุญร่วมกันกับพรรคการเมืองที่กระหายอำนาจ “ถูลู่ถูกัง” อยู่ร่วมกันเรื่อยมาได้จนถึงขณะนี้ แม้ว่าในตลอดเวลานี้นั้นจะทะเลาะเบาะแว้ง ระหองระแหง พ่อแม่แง่งอน กระทั่งถึงขั้นด่าทอและตบตีกันรุนแรง แต่ก็เชื่อว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปจนกระทั่งครบเทอมและมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ คำพูดที่ยกมาข้างต้นของบทความวันนี้ ว่ากันว่าเป็นคำพูดของประมุขบ้านจันทร์โอชา ที่พูดกับลูกบ้านที่กำลังฟัดกันนัวเนีย เหมือนว่าตอนนี้เรตติ้งอาจจะไม่ดีแล้ว แต่ก็ยังต้องเล่นละครกันต่อไป จนกว่าจะจบเรื่องตามที่กำหนดไว้ นั่นก็คือเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยไม่ต้องใส่ใจว่าจะแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จหรือไม่ “อยู่ ๆ กันไปอย่างนี้แหละ ถ้าอยากจะกลับมาเล่นด้วยกันอีก ก็ทำตัวให้ดีนะ เข้าใจตรงกันนะ ฮึ่ม!”