กลายเป็นเรื่อง ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ สร้างแรงสั่นสะเทือน ขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อจู่ๆ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ "หัวหน้ารัฐบาล" ออกมากางไทม์ไลน์ อายุรัฐบาลว่าจะเหลือเวลาอีก 1ปี
"ปัจจุบันสถานการณ์เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ได้มีการอนุมัติไปแล้ว 984,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 73 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเหลือเงินกู้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งต้องมีเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อสำรองในการลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชนต่อไป ทั้งนี้หลายเรื่องที่ได้มีการหารือในที่ประชุมครม.ซึ่งผมมีความเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ว่าทำอย่างไรจะให้หลุดพ้นจากความยากจนได้โดยเร็วที่สุด
ผมได้สั่งการและมอบนโยบายไปแล้วว่าจำเป็นต้องเร่งรัดหลายกิจกรรมในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ยังเหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน และเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ส่งต่อให้กับรัฐบาลวันข้างหน้าต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามแผนงาน 1 ปี และแผนงานระยะปานกลาง 3 ปี ยุทธศาสตร์ 5 ปี นั่นคือความต่อเนื่องและสอดคล้อง สุดแล้วแต่รัฐบาลใดจะเข้ามารับผิดชอบกันต่อไป ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่อเนื่อง แล้วจะทำไม่ได้"
เมื่องานนี้หัวหน้ารัฐบาลออกมาส่งสัญญาณ วันว.เวลา น. ด้วยตัวเองเหมือนกับจงใจยิ่งทำให้ "ข่าวลือ" ที่เคยสะพัดมาก่อนหน้านี้เรื่องยุบสภาฯและเลือกตั้งใหม่ ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น !
ความเคลื่อนไหวในมิติแห่งการเมืองเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาพูดเรื่องอายุรัฐบาลอย่างเปิดเผย ได้เกิดขึ้นทันที คล้ายกับเป็นการขานรับสำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่รอให้ "ครบเทอม" จนถึงปี 2566 แต่อาจเลือกจังหวะเหมาะ โอกาสที่ประเมินแล้วว่า "รัฐบาล" โดยฉพาะ "กระแสบิ๊กตู่" ฟีเวอร์เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ประชาชนเกิดความพึงพอใจ
และที่สำคัญเหนืออื่นใด จะต้องเป็นความได้เปรียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาล เอาชนะ "สงครามโควิด"ได้อย่างชัดเจนเสียก่อน ทั้งการเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายมากที่สุด ให้กับประชาชน 50ล้านคน จำนวน100 ล้านโดส โดยน่าจะต้องเสร็จสิ้นได้ก่อนสิ้นปี ตามที่นายกฯประกาศให้เป็น "วาระแห่งชาติ" เพราะอย่าลืมว่า ยิ่งรัฐบาลดำเนินการได้เร็วมากเท่าใด จะยิ่งทำให้ ภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้เร็วเท่านั้น
แน่นอนว่า เมื่อผู้นำรัฐบาลส่งสัญญาณออกมาเช่นนี้ ย่อมทำให้ทุกพรรคการเมือง ต้องขยับเดินหน้าเตรียมการทั้งภายในพรรค ไปจนถึงการ "จับมือ" เช็คคอนเนคชั่นที่ต่างมีอยู่ในมือ ว่ามากน้อยแค่ไหน มากพอที่จะกระโดดลงสนามเลือกตั้งรอบหน้าแล้วหรือไม่
รวมถึง "ผลงาน" ของแต่ละกระทรวง ที่แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลได้โควตาเข้าไปนั่งบริหารในยุค "ประยุทธ์ 2" มีมากพอที่จะเรียกคะแนนนิยมแล้วหรือไม่
สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนว่า รัฐบาลกำลังกุมความได้เปรียบด้วยกันหลายทาง จนทำให้ "พรรคฝ่ายค้าน" อาจต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการต่อสู้ทางการเมือง จากนี้ โดยเฉพาะโอกาสที่จะได้ใช้ "กติกาใหม่" จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้นดูจะเป็นเรื่องที่ยังต้องลุ้นกันช็อตต่อช็อต ว่ารัฐบาลจะเขียนกติกาใหม่ ที่ตัวเองยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ กลับเข้ามาในสภาฯอีกหรือไม่ !?