รศ. ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต การปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อวันอังคารที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมาให้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ กล่าวได้ว่า “ผ่าน” สำเร็จลุล่วงด้วยดี ส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนทันที คือคนที่มีนัดวันและเวลาฉีดวัคซีนล่วงหน้าแล้วก็คงชัวร์ขึ้นว่าต้องได้ฉีดแน่นอน ส่วนประชาชนที่ยังไม่ได้จองฉีดวัคซีนก็คงอยากจองและอยากฉีดวัคซีนกันขึ้นมาไม่น้อย ซึ่งก่อนที่จะมาถึงวันฉีควัคซีนทั่วประเทศทั้งฟากรัฐบาลและหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเรื่องการจัดหาวัคซีนคงเครียดกันไม่เบา เพราะมีข่าวเชิงลบว่อนไปทั่วทั้งสื่อเก่าและสื่อใหม่อย่างโซเซียล ประกอบกับการให้ข้อมูลข่าวสารการฉีดวัคซีนก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนประชาชน “สับสนอลหม่าน” ไม่มั่นใจว่าจะเชื่อหน่วยงานใด ยิ่งไปกว่านี้ ประชาชนก็ไม่ค่อยจะมั่นใจว่ารัฐบาลจะเตรียมความพร้อมด้านจำนวนวัคซีน สถานที่ฉีด และจำนวนบุคลากรทางการแพทย์พร้อมหรือไม่? ขนาด “หมอพร้อม” ยังอันตรธาน !!! การฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นประเด็นที่จับตามากทุกภาคส่วน เพราะโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ติดต่อง่าย และร้ายแรงถึงขั้นชีวิต การวิจัยค้นคว้าสร้างวัคซีนในห้องทดลองเพื่อมาสู้กับโรคโควิด-19 ดำเนินการอย่างรวดเร็ว และต้องรีบ “ปล่อย” วัคซีนออกมาฉีดทั้งที่แพทย์เองก็ยังไม่มีความมั่นใจมากนัก ประเทศที่เร่งกระจายปูพรมฉีดก่อนยอมแบกรับความเสี่ยงขั้นสูง แต่กลายเป็นความโชคดีเข้ามาแทนที่ เข้าข่าย “high risk high return” เพราะอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ลดลงฮวบฮาบหรือเมื่อติดเชื้อก็ไม่มีอาการรุนแรง ผลที่ตามมาคือการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ เชิงเศรษฐกิจเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ สามารถเปิดประเทศได้ รวมถึงระบบสาธารณสุขก็พลิกฟื้นตัวใหม่ สถานการณ์นี้ตรงข้ามกับประเทศที่ปริมาณการฉีดวัคซีนยังต่ำ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าการเอาชนะโควิด-19 ให้สงบลงอย่าง “เบ็ดเสร็จสิ้นเชิง” ต้องเป็นการฉีดวัคซีนให้กับประชากรทั้งโลกไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ หรือมากถึง 4 พันล้านคน ไม่ใช่การฉีดเฉพาะพลเมืองของประเทศร่ำรวยที่มีศักยภาพการจัดหาวัคซีนง่าย ตราบใดที่โควิด-19 ยังมีอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็ยังไม่ปลอดภัยจริง การติดต่อหรือเคลื่อนย้ายประชากรไปมาก็ย่อมเกิดการระบาดใหม่ได้เสมอ ด้วยปริมาณการผลิตวัคซีนไม่ทันกับปริมาณความต้องการใช้จริงของประเทศต่าง ๆ จึงเป็นโจทย์ท้าทายรัฐบาลไทยในเชิงการบริหารจัดการและยังเป็นการพิสูจน์ศักยภาพความพร้อมของประเทศด้วย ซึ่งการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยเป็นงานที่ยากและสาหัสกว่าการเลือกตั้งทั่วไป เพราะแม้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปและการฉีดวัคซีนต้องลงถึงระดับบุคคลเช่นกัน แต่การฉีดวัคซีนมีเรื่องความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้องและต้องอาศัยบุคลากรเฉพาะทางด้วยทำให้ทุกอย่างต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง แต่มาถึงวันนี้ก็ถือว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการทั้งการจัดหา จัดสรร และการฉีดวัคซีนในขั้นต้นแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มที่ดีในการทำงานใหญ่นี้ ประชาชนเริ่มมั่นใจในศักยภาพด้านการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐยิ่งขึ้น เป้าหมายการฉีดวัคซีน 50 ล้านคน ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ คงไม่เหนือกว่าบ่าแรงแล้ว !!! เพราะจากสถิติที่ผ่านมาในการฉีดวัคซีน 114 ประเทศทั่วโลก พบว่ามีการฉีดแล้วเกินกว่า 300 ล้านโดส การฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสแรก ใช้เวลา 56 วัน 100 ล้านโดสที่สองใช้เวลาเพียง 19 วัน และ 100 ล้านโดสที่สาม ใช้เวลาเพียง 15 วัน เท่านั้น แต่นี่คือข้อมูลของทุกประเทศทั่วโลกนะ ...เห็นตัวเลขของทั่วโลก นับว่าเป็นข่าวดี แต่หันมาดูประเทศไทยเราแล้ว ทุกฝ่าย..ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านคงต้องเลิกเล่นการเมือง(ชั่วคราว)ก่อน แล้วหันมาเอาจริงเอาจังกับการบริหารจัดการวัคซีนอย่างเต็มที่ เพราะตอนนี้ "ประชาชนพร้อม"แล้วครับ!